ถ้าคุณรักใครสักคนขึ้นมา
จะใช้เวลารวบรวมความกล้านานแค่ไหนถึงจะบอกรักเขา? ถามเนี่ย
เพราะสังเกตสังกามานานแล้วว่า ผู้คนส่วนใหญ่จะพูดคำว่ารักกับใครนั้นยากพอสมควร
เนื่องจากคนเรามักเขินที่จะบอกว่า ชอบ หรือรัก เพราะบางทีก็ไม่แน่เหมือนกันนี่ว่า
อีกฝ่ายหนึ่งจะคิดแบบเดียวกันไหม? ขืนพูดออกไป ถ้าอีกคนไม่เล่นด้วย
ไม่รู้สึกรู้สมในสิ่งที่เรารู้สึกกับเขาด้วยก็หน้าแหกไปเลยสิ
การจะพูดคำพวกนี้ออกมาจึงสร้างความรู้สึกกระดากและตะขิดตะขวงใจให้ทั้งผู้พูดและผู้ฟังอยู่ไม่น้อย
หลายคนจึงไม่ค่อยอยากพูดคำดีๆ เหล่านี้ออกมาเท่าไหร่ แต่หันไปแสดงอาการบอกรัก
หรือรู้สึกชอบพอ ด้วยวิธีอื่นแทน ส่วนวิธีที่ฮิตและใช้กันบ่อย มีหลายอย่างด้วยกัน
เช่น พูดเป็นนัยๆว่า ดูแลตัวเองให้ดีๆนะ, คิดถึงมาก, คิดถึงจัง,อยากอยู่ใกล้ๆ
ก็ว่ากันไป ส่วนบางคนจะส่งข้อความเป็น SMS ไปบอกว่า Miss U (คิดถึง)
ก็ล้วนตีความได้ว่า ถ้าไม่รักก็คงไม่เสียเวลามาส่งชอต แมสเสจ
หรือข้อความสั้นกันหรอก
ที่จริง การที่คนเราไม่ค่อยพูดคำว่ารักออกมา ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
เพราะขืนพูดคำว่า รักออกมาง่ายเกินไป หรือพูดแบบไม่ทันคิด
จะไปบั่นทอนมนต์ขลังของความรักให้ศักดิ์สิทธิ์น้อยลงตามไปด้วย และกลายเป็นว่า
คนที่ไม่ค่อยกล้าพูดคำนี้ แต่ถ้าหากพูดเมื่อไหร่
จะจริงจังและจริงใจกับคำพูดของตัวเองมากกว่า แบบว่า ถ้าพูดว่ารักใครแล้ว
ก็หมายความตามนั้นจริงๆ ไม่ได้พูดเพื่อหวังหลอกเจาะไข่แดง หรือโกหกตอแหล
แต่ข้อเสียก็อย่างที่รู้ๆกัน คือ ถ้าเรารักใครแล้วไม่บอกไม่พูดไม่กล่าว
เอาแต่เก็บเงียบไว้ ต่อให้ใช้แต่คำว่าชอบนะ ฝ่ายโน้นก็ยังลังเลอยู่ดีว่า
ตกลงเขาคิดอย่างไรกับเรากันแน่? ฉะนั้น ถ้าพูดไปเลยว่า รัก จะชัดเจนกว่ากันเยอะ
สำหรับคู่ที่อยู่ด้วยกันแล้ว ก็ควรบอกรักกันบ้าง ถ้าตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา
เคยบอกรักเพียงครั้งเดียว ได้แก่ ตอนที่ชวนเป็นแฟน แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยพูดอีกเลย
คงไม่ดีเท่าไหร่ เดี๋ยวเถอะ เกิดงอนกันขึ้นมาแล้วจะหาว่าไม่เตือน
เมื่อกล้าที่จะบอกรักแล้ว หากความรักทำให้ทั้งคู่ตระหนักว่า
ชาตินี้ฉันคงขาดเธอไม่ได้ (ไม่ใช่ขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก)
ก็ย่อมถึงเวลาที่ฝ่ายชายจะตัดสินใจเอ่ยปากขอฝ่ายหญิงแต่งงานอย่างเป็นทางการสักที
เขียนถึงตรงนี้ ก็มีผู้สงสัยขึ้นมาว่า มีไหมที่ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายขอผู้ชายแต่งงาน?
โถ...ถามได้ มีสิ ทำไมจะไม่มี มีอยู่ในหนังเรื่อง the proposal
หรือลุ้นรักวิวาห์ฟ้าแลบ ที่ซานดรา บูลล็อค เป็นฝ่ายงอนง้อขอแต่งงานกับไรอัน
เรย์โนลด์สไง
ส่วนในชีวิตจริงของหนุ่มสาวทั่วไปก็มีเหมือนกัน แต่ไม่เป็นที่นิยม ยังไง้ ยังไง
ผู้หญิงก็ยังอยากได้ยินผู้ชายขอเธอแต่งงานมากกว่าอยู่ดี จะได้มั่นใจด้วยว่า
ที่เขาตัดสินใจวิวาห์กับเธอนั้นเป็นเพราะ รัก และอยากใช้ชีวิตร่วมกันจริงๆ
ไม่ได้ไปฝืนใจเขา แต่เขามาเอง
มาพัวพันเชิงสร้างสรรค์ไปสู่การสร้างครอบครัวกับเธอเองต่างหาก
งั้น
ถ้าหนุ่มคนไหนตัดสินใจแล้วว่าจะขอแฟนสาววิวาห์เหาะ...เอ้ยวิวาห์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว
แต่ยังไม่รู้ว่า จะขอเธอแต่งงานที่ไหนดี จึงมีไอเดียมาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้...
1. ขอแต่งงาน ณ สถานที่ที่คุณทั้งสองเจอกันครั้งแรกหรือเคยออกเดทครั้งแรกด้วยกัน
ขึ้นอยู่กับว่า ไปเจอกันที่ไหนหรือเคยออกเดทกันที่ใด สมมติว่า
ถ้าเจอกันครั้งแรกตอนต่างฝ่ายต่างไปดูคอนเสิร์ต แต่ก่อนเข้าไปในฮอลล์ที่โชว์เพลง
เขาเกิดเห็นฝ่ายหญิงมากับเพื่อนกลุ่มใหญ่แถมยังเม้าท์กันสนุก
ชนิดแย่งกันพูดไม่มีใครยอมใคร เสียงเม้าท์ที่ดังสนั่นทำให้เขาสะดุดหูและหันไปดูว่า
เจ้าของเสียงคือใคร และทันใดนั้น เขาก็นึกชอบฝ่ายหญิงตั้งแต่นั้นละก็
หากฝ่ายชายจะชวนสาวไปรื้อฟื้นอดีต
ก็ลองชวนเธอไปดูคอนเสิร์ตของวงดนตรีที่ทำให้เจอกันครั้งแรกดูดิ
แต่อย่าลืมชวนกองเชียร์ที่เป็นเพื่อนๆของเธอไปด้วย
เพื่อเป็นพยานในการขอแต่งงานคราวนี้ซะเลย อยู่ต่อหน้าเพื่อนๆ อย่างนี้
รับรองเธอไม่ปฏิเสธแน่
2. ขอแต่งงานในงานแต่งงานของเพื่อน
ไม่ต้องรอให้เธอแย่งช่อดอกไม้ของเจ้าสาวที่ถือเป็นการเสี่ยงทายว่า
ใครจะได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไป ดังนั้น
ฝ่ายชายควรฉวยโอกาสขอสาวเข้าวิวาห์ในงานแต่งงานของเพื่อนสนิทไปเลย
รับรองความรู้สึกอินกับบรรยากาศของงานแต่งงาน จะช่วยให้ฝ่ายหญิงเซย์เยส ไม่ลังเล
แถมเธอจะแอบจินตนาการด้วยซ้ำไปว่า เวลาสวมชุดแต่งงาน แล้วจะสวยแค่ไหน
และงานวิวาห์จะหรูเลิศอลังการอย่างไร
3. ขอเธอแต่งงานที่บ้านก็ได้
จะเป็นบ้านของฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงก็แล้วแต่ การขอแต่งงานที่บ้านหลังตื่นนอนตอนเช้า
เพื่อปลุกให้เธอตื่นขึ้นมาเซอร์ไพรส์กับอาหารเช้าที่ฝ่ายชายลงมือเป็นพ่อครัว
แล้วแอบซ่อนแหวนหมั้นไว้บนถาดอาหารที่เขายกมาเสิร์ฟให้เธอถึงในห้องนอน
(ไม่ต้องถึงกับซ่อนแหวนไว้ในอาหารหรอก เดี๋ยวเธอกลืนแหวนลงไปแล้วจะยุ่ง) ทำงี้
เพื่อให้เธอมั่นใจว่า ถ้าตอบตกลงแต่งด้วย เขาจะดูแลเธออย่างทะนุถนอมอย่างนี้ตลอดไป
น่ารักดี
4. ขอแต่งงานในต่างประเทศ ว้าว เลือกสถาน–ที่ที่โรแมนติก
หรือเป็นประเทศที่ฝ่ายหญิงชอบหรือมีสัญลักษณ์ของความรักเข้าสิ
มีหลายคู่ทีเดียวที่ก่อนลงเอยสมรสกันก็ใช้วิธีระทึก เอ้ย
ตื่นเต้นเช่นว่านี้บางคู่ถึงกับขอแต่งงานที่ทัชมาฮาลก็มี คงทราบกันนะว่าทัช–
มาฮาลเป็นสุสานหินอ่อนที่เชื่อกันว่า เป็นสถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยที่สุดในโลก
หนำซ้ำยังถูกสร้างขึ้นมาจากความรักที่ยิ่งใหญ่ ดูขลังและอลังการไม่เบา
หรือทำทีเป็นชวนเธอไปเที่ยวยุโรปหรือสหรัฐฯ (ขึ้นอยู่ว่ามีงบมากน้อยแค่ไหน)
เส้นทางสายนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศโรแมนติกจะตาย มีคู่เลิฟมากมายชอบไปฮันนีมูน
แต่แทนที่จะรอให้ฮันนีมูนแล้วค่อยไป
ก็ชิงจองตัวเธอมาเป็นเจ้าสาวในโอกาสอันเป็นมงคลอย่างนี้ก่อนเลยแล้วกัน ทำถึงขนาดนี้
ถ้าไม่เซย์เยสก็ให้มันรู้ไป
@@@ไทยรัฐออนไลน์
โดย เมอร์ลิน
11 มีนาคม 2555
จะใช้เวลารวบรวมความกล้านานแค่ไหนถึงจะบอกรักเขา? ถามเนี่ย
เพราะสังเกตสังกามานานแล้วว่า ผู้คนส่วนใหญ่จะพูดคำว่ารักกับใครนั้นยากพอสมควร
เนื่องจากคนเรามักเขินที่จะบอกว่า ชอบ หรือรัก เพราะบางทีก็ไม่แน่เหมือนกันนี่ว่า
อีกฝ่ายหนึ่งจะคิดแบบเดียวกันไหม? ขืนพูดออกไป ถ้าอีกคนไม่เล่นด้วย
ไม่รู้สึกรู้สมในสิ่งที่เรารู้สึกกับเขาด้วยก็หน้าแหกไปเลยสิ
การจะพูดคำพวกนี้ออกมาจึงสร้างความรู้สึกกระดากและตะขิดตะขวงใจให้ทั้งผู้พูดและผู้ฟังอยู่ไม่น้อย
หลายคนจึงไม่ค่อยอยากพูดคำดีๆ เหล่านี้ออกมาเท่าไหร่ แต่หันไปแสดงอาการบอกรัก
หรือรู้สึกชอบพอ ด้วยวิธีอื่นแทน ส่วนวิธีที่ฮิตและใช้กันบ่อย มีหลายอย่างด้วยกัน
เช่น พูดเป็นนัยๆว่า ดูแลตัวเองให้ดีๆนะ, คิดถึงมาก, คิดถึงจัง,อยากอยู่ใกล้ๆ
ก็ว่ากันไป ส่วนบางคนจะส่งข้อความเป็น SMS ไปบอกว่า Miss U (คิดถึง)
ก็ล้วนตีความได้ว่า ถ้าไม่รักก็คงไม่เสียเวลามาส่งชอต แมสเสจ
หรือข้อความสั้นกันหรอก
ที่จริง การที่คนเราไม่ค่อยพูดคำว่ารักออกมา ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
เพราะขืนพูดคำว่า รักออกมาง่ายเกินไป หรือพูดแบบไม่ทันคิด
จะไปบั่นทอนมนต์ขลังของความรักให้ศักดิ์สิทธิ์น้อยลงตามไปด้วย และกลายเป็นว่า
คนที่ไม่ค่อยกล้าพูดคำนี้ แต่ถ้าหากพูดเมื่อไหร่
จะจริงจังและจริงใจกับคำพูดของตัวเองมากกว่า แบบว่า ถ้าพูดว่ารักใครแล้ว
ก็หมายความตามนั้นจริงๆ ไม่ได้พูดเพื่อหวังหลอกเจาะไข่แดง หรือโกหกตอแหล
แต่ข้อเสียก็อย่างที่รู้ๆกัน คือ ถ้าเรารักใครแล้วไม่บอกไม่พูดไม่กล่าว
เอาแต่เก็บเงียบไว้ ต่อให้ใช้แต่คำว่าชอบนะ ฝ่ายโน้นก็ยังลังเลอยู่ดีว่า
ตกลงเขาคิดอย่างไรกับเรากันแน่? ฉะนั้น ถ้าพูดไปเลยว่า รัก จะชัดเจนกว่ากันเยอะ
สำหรับคู่ที่อยู่ด้วยกันแล้ว ก็ควรบอกรักกันบ้าง ถ้าตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา
เคยบอกรักเพียงครั้งเดียว ได้แก่ ตอนที่ชวนเป็นแฟน แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยพูดอีกเลย
คงไม่ดีเท่าไหร่ เดี๋ยวเถอะ เกิดงอนกันขึ้นมาแล้วจะหาว่าไม่เตือน
เมื่อกล้าที่จะบอกรักแล้ว หากความรักทำให้ทั้งคู่ตระหนักว่า
ชาตินี้ฉันคงขาดเธอไม่ได้ (ไม่ใช่ขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก)
ก็ย่อมถึงเวลาที่ฝ่ายชายจะตัดสินใจเอ่ยปากขอฝ่ายหญิงแต่งงานอย่างเป็นทางการสักที
เขียนถึงตรงนี้ ก็มีผู้สงสัยขึ้นมาว่า มีไหมที่ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายขอผู้ชายแต่งงาน?
โถ...ถามได้ มีสิ ทำไมจะไม่มี มีอยู่ในหนังเรื่อง the proposal
หรือลุ้นรักวิวาห์ฟ้าแลบ ที่ซานดรา บูลล็อค เป็นฝ่ายงอนง้อขอแต่งงานกับไรอัน
เรย์โนลด์สไง
ส่วนในชีวิตจริงของหนุ่มสาวทั่วไปก็มีเหมือนกัน แต่ไม่เป็นที่นิยม ยังไง้ ยังไง
ผู้หญิงก็ยังอยากได้ยินผู้ชายขอเธอแต่งงานมากกว่าอยู่ดี จะได้มั่นใจด้วยว่า
ที่เขาตัดสินใจวิวาห์กับเธอนั้นเป็นเพราะ รัก และอยากใช้ชีวิตร่วมกันจริงๆ
ไม่ได้ไปฝืนใจเขา แต่เขามาเอง
มาพัวพันเชิงสร้างสรรค์ไปสู่การสร้างครอบครัวกับเธอเองต่างหาก
งั้น
ถ้าหนุ่มคนไหนตัดสินใจแล้วว่าจะขอแฟนสาววิวาห์เหาะ...เอ้ยวิวาห์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว
แต่ยังไม่รู้ว่า จะขอเธอแต่งงานที่ไหนดี จึงมีไอเดียมาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้...
1. ขอแต่งงาน ณ สถานที่ที่คุณทั้งสองเจอกันครั้งแรกหรือเคยออกเดทครั้งแรกด้วยกัน
ขึ้นอยู่กับว่า ไปเจอกันที่ไหนหรือเคยออกเดทกันที่ใด สมมติว่า
ถ้าเจอกันครั้งแรกตอนต่างฝ่ายต่างไปดูคอนเสิร์ต แต่ก่อนเข้าไปในฮอลล์ที่โชว์เพลง
เขาเกิดเห็นฝ่ายหญิงมากับเพื่อนกลุ่มใหญ่แถมยังเม้าท์กันสนุก
ชนิดแย่งกันพูดไม่มีใครยอมใคร เสียงเม้าท์ที่ดังสนั่นทำให้เขาสะดุดหูและหันไปดูว่า
เจ้าของเสียงคือใคร และทันใดนั้น เขาก็นึกชอบฝ่ายหญิงตั้งแต่นั้นละก็
หากฝ่ายชายจะชวนสาวไปรื้อฟื้นอดีต
ก็ลองชวนเธอไปดูคอนเสิร์ตของวงดนตรีที่ทำให้เจอกันครั้งแรกดูดิ
แต่อย่าลืมชวนกองเชียร์ที่เป็นเพื่อนๆของเธอไปด้วย
เพื่อเป็นพยานในการขอแต่งงานคราวนี้ซะเลย อยู่ต่อหน้าเพื่อนๆ อย่างนี้
รับรองเธอไม่ปฏิเสธแน่
2. ขอแต่งงานในงานแต่งงานของเพื่อน
ไม่ต้องรอให้เธอแย่งช่อดอกไม้ของเจ้าสาวที่ถือเป็นการเสี่ยงทายว่า
ใครจะได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไป ดังนั้น
ฝ่ายชายควรฉวยโอกาสขอสาวเข้าวิวาห์ในงานแต่งงานของเพื่อนสนิทไปเลย
รับรองความรู้สึกอินกับบรรยากาศของงานแต่งงาน จะช่วยให้ฝ่ายหญิงเซย์เยส ไม่ลังเล
แถมเธอจะแอบจินตนาการด้วยซ้ำไปว่า เวลาสวมชุดแต่งงาน แล้วจะสวยแค่ไหน
และงานวิวาห์จะหรูเลิศอลังการอย่างไร
3. ขอเธอแต่งงานที่บ้านก็ได้
จะเป็นบ้านของฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงก็แล้วแต่ การขอแต่งงานที่บ้านหลังตื่นนอนตอนเช้า
เพื่อปลุกให้เธอตื่นขึ้นมาเซอร์ไพรส์กับอาหารเช้าที่ฝ่ายชายลงมือเป็นพ่อครัว
แล้วแอบซ่อนแหวนหมั้นไว้บนถาดอาหารที่เขายกมาเสิร์ฟให้เธอถึงในห้องนอน
(ไม่ต้องถึงกับซ่อนแหวนไว้ในอาหารหรอก เดี๋ยวเธอกลืนแหวนลงไปแล้วจะยุ่ง) ทำงี้
เพื่อให้เธอมั่นใจว่า ถ้าตอบตกลงแต่งด้วย เขาจะดูแลเธออย่างทะนุถนอมอย่างนี้ตลอดไป
น่ารักดี
4. ขอแต่งงานในต่างประเทศ ว้าว เลือกสถาน–ที่ที่โรแมนติก
หรือเป็นประเทศที่ฝ่ายหญิงชอบหรือมีสัญลักษณ์ของความรักเข้าสิ
มีหลายคู่ทีเดียวที่ก่อนลงเอยสมรสกันก็ใช้วิธีระทึก เอ้ย
ตื่นเต้นเช่นว่านี้บางคู่ถึงกับขอแต่งงานที่ทัชมาฮาลก็มี คงทราบกันนะว่าทัช–
มาฮาลเป็นสุสานหินอ่อนที่เชื่อกันว่า เป็นสถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยที่สุดในโลก
หนำซ้ำยังถูกสร้างขึ้นมาจากความรักที่ยิ่งใหญ่ ดูขลังและอลังการไม่เบา
หรือทำทีเป็นชวนเธอไปเที่ยวยุโรปหรือสหรัฐฯ (ขึ้นอยู่ว่ามีงบมากน้อยแค่ไหน)
เส้นทางสายนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศโรแมนติกจะตาย มีคู่เลิฟมากมายชอบไปฮันนีมูน
แต่แทนที่จะรอให้ฮันนีมูนแล้วค่อยไป
ก็ชิงจองตัวเธอมาเป็นเจ้าสาวในโอกาสอันเป็นมงคลอย่างนี้ก่อนเลยแล้วกัน ทำถึงขนาดนี้
ถ้าไม่เซย์เยสก็ให้มันรู้ไป
@@@ไทยรัฐออนไลน์
โดย เมอร์ลิน
11 มีนาคม 2555