ในละครทีวีซีรีส์เรื่องนึงของเมืองนอก ตัวละครที่เป็นผู้หญิงพูดขึ้นมาชวนให้อึ้ง
เธอบอกว่า “ผู้หญิงไม่ควรเดทกับคนที่ต่ำกว่า เพราะมักจะไปกันไม่รอด” โอ้โฮเฮะ
คิดได้ไงเนี่ย คำว่าต่ำกว่าในที่นี้อาจจะ เป็นด้านการศึกษา, ฐานะการงาน,
ฐานะการเงิน และ ฐานะทางสังคมก็ได้ โดยรวมแล้วเธอเชื่อกันว่า
ถ้าผู้หญิงเลือกคบคนที่มีบางอย่างน้อยกว่าที่เธอมีละก็ อยู่กันได้ไม่ยืดหรอก
เดี๋ยวก็ต้องแยกทางกันในที่สุด แหม...ของอย่างนี้ ฟังไว้ละกัน
จริงอยู่มีหลายคู่ที่เป็นเช่นนี้ แต่คงใช้เป็นมาตรฐานสากลไม่ได้
เพราะเรื่องที่คู่รักคู่ไหนจะอยู่ด้วยกันยืดหรือไม่
มีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง บางทีไม่ต้องพิจารณาว่าต่ำกว่าหรือสูงกว่า
แต่แค่ “เบื่อ” และ “ไม่อยากจะอยู่ด้วยกัน” ก็เลิกทนกันแล้ว
ความอดทนของคนสมัยนี้ยิ่งมีน้อยอยู่ด้วย
ว่าแต่ถ้าต้องเลิกกับแฟนจริงๆละก็ กรุณาดูแลจิตใจให้ดีๆ บางคนกวนทีนบอก
ไม่ต้องดูแลให้มาก เพราะเป็นฝ่ายบอกเลิกย่อมได้เปรียบกว่าเป็นฝ่ายถูกเลิกแหงๆ...อ๋อ
มันแน่ล่ะซี ที่พูดนี่หวังเตือนผู้ที่ถูกแฟนบอกเลิกต่างหากล่ะ
คือถ้าใครโดนบอกเลิกแล้วเศร้าไม่กี่วันแล้วหายก็ดีไป แต่หากไม่ใช่
แถมยังอยากฆ่าตัวตาย...ว้าย จะรีบตายไปทำไม โลกยังสวยงามน่าอยู่
อีกอย่างผู้ที่สมควรแคร์มากๆคือพ่อแม่ต่างหาก หาใช่คนเคยรักไม่
ขืนใครเลิกกับแฟนแล้วคิดสั้น ก็น่าจะฉุกคิดให้ได้ว่า
มนุษย์เราไม่ได้เกิดมาเพื่อหาใครสักคน (มาเป็นแฟน) แล้วจะอยู่ไม่ได้หากปราศจากเขา
แต่เรามีแฟนเพื่อหาคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ มีความสุข
และก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกันต่างหาก
นี่ก็ใกล้ถึงวันวาเลนไทน์เข้าไปทุกที
จึงอยากพูดเรื่องความรักในแง่ที่หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่า ควรจะเลือกคบคนอย่างไร
ให้ได้แฟนที่ถูกใจ บ้าง หลังผู้เชี่ยวชาญบางท่านแนะนำว่า เวลารักใคร ก็ควรใช้หัวใจ
อย่าไปใช้เหตุผลเลือกสรรให้มาก เดี๋ยวจะหาแฟนไม่ได้ งั้นเอางี้สิ
ควรฟังทั้งเสียงเรียกร้องของหัวใจและอาศัยเหตุผล ทั้ง 2 อย่างเลยแล้วกัน
อย่าไปใช้สิ่งใดสิ่งหนึ่งมาตัดสินเลือกคบใครเพียงอย่างเดียว ไม่งั้น
ขืนพลาดขึ้นมาแล้วจะยุ่ง!
ส่วน คำถามที่ว่า แล้วเราควรเลือกคบคนอย่างไรมาเป็นแฟนดีนั้น
ไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอนตายตัว เพราะมนุษย์แต่ละคนย่อมมีมาตรฐานในการเลือก “คนรู้ใจ”
มาเป็นแฟนกันอยู่แล้ว แต่พอที่จะแนะนำอย่างคร่าวๆได้ว่า * ถ้าคุณจะคบใครสักคน
ก็ควรศึกษาถึงข้อดีและข้อเสียของเขาว่า
คุณยอมรับในสิ่งเหล่านี้ของเขาได้มากน้อยแค่ไหน ถ้ารับได้สัก 80%
ค่อยน่าเขยิบสถานะของการคบกันฉันเพื่อนมาเป็นแฟน
หรือจะถึงขั้นสู่ขอกันวิวาห์เลยก็ได้ แต่ก่อนจะตอบว่ารับได้หรือไม่?
อย่ารีบร้อนบอกว่าฉันรับได้ ฉันรับไหว เพราะความรักตอนนั้นมันบังตา
แต่ควรเขียนเป็นลิสต์ออกมาเลยว่า เขามีดีอย่างไร
และมีข้อเสียหรือความร้ายกาจขนาดไหน
เขียนจดไว้ในสมุด หรือจะเขียนไว้บนไวต์บอร์ดกระดานดำที่ใช้อยู่เป็นประจำที่บ้าน
หรือที่ทำงานก็ได้ บางคนนะ คิดคนเดียวไม่พอ มีการชวนเพื่อนให้ มาช่วยขบคิดด้วยว่า
จะเป็นแฟนกับคนนั้นคนนี้ดีไหม? ก็เชิญตามสบาย สไตล์ใคร สไตล์มัน ข้อต่อไป...
* อย่าลืมว่า ไม่มีใครสมบูรณ์เพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง
ทุกคนย่อมมีความบกพร่องเล็กๆน้อยๆ ดังนั้น
อย่าไปมองหาความเพอร์เฟกต์จากผู้ที่จะมาเป็นแฟน
เพราะตัวเราเองก็ไม่เพอร์เฟกต์เหมือนกัน
ซึ่งถ้ายอมรับในสิ่งที่เขาเป็นได้ก็น่าจะอยู่กันได้ ไม่ลองก็ไม่รู้
บางทีก็ต้องเสี่ยงกันบ้าง
ส่วนกูรู อย่างเดฟ ซิงเกิลตัน นักเขียนชาวอเมริกันผู้สันทัดกรณีเรื่องการออกเดท
ก็มีเคล็ดลับเรื่องของความรักมาเล่าสู่กันฟัง เขาแนะว่า 1.
หากคู่รักคู่ไหนมีเรื่องระหองระแหง ชวนให้ขุ่นเคืองใจ หรือไม่พอใจกัน
จนมีแนวโน้มว่า จะทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ขอให้ฉุกคิดกันสักนิดก่อนว่า
เราจะทะเลาะกันดีรื้อ? ในเมื่อชีวิตนี้มันสั้นนัก ตัดเรื่องหยุมหยิมออกไปบ้างก็ได้
ไม่ต้องทะเลาะกันทุกอย่างหรือทุกครั้งที่ไม่พอใจ...ขอร้อง
ควรโฟกัสเรื่องที่จะทะเลาะกันเป็นเรื่องใหญ่โตจริงๆก็พอ
ส่วนเรื่องจิ๊บๆทิ้งไปซะเถอะ
2. เราสามารถแก้ปัญหาความเบื่อหน่ายในการครองคู่ได้ด้วยการสร้างความตื่นเต้นเร้าใจ
หรือทำอะไรใหม่ๆร่วมกัน เช่น ถ้าทั้งคู่ชอบทานอาหารจีน
ไปไหนด้วยกันก็มักทานอาหารจีน
งั้นต่อไปนี้ลองเปลี่ยนแนวเป็นชวนกันไปทานอาหารของชาติอื่นบ้าง
โดยให้ลืมคำว่ากินไม่เป็นไว้ชั่วคราว ถือซะว่าเป็นการผจญภัย ที่เดาทางกันไม่ถูก
อู้ย...ตื่นเต้นดีออก
อ้อ การสร้างความแปลกใหม่ ไม่จำเป็นต้องเน้นกันที่หาของกินอย่างเดียว
สามารถประยุกต์ไปเป็นเรื่องอื่นๆได้อีก ขึ้นอยู่กับจะทำกิจกรรมอะไรล่ะ
ชวนกันไปเล่นกีฬาไหม? เคยไดรฟ์กอล์ฟหรือเล่นเทนนิสหรือยัง
3.ในเรื่องของความสัมพันธ์ รู้ไหมว่าการมีระยะห่างกันบ้างก็สำคัญนะ
ถ้าอยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างคู่ของคุณเป็นไปด้วยดีละก็ อย่าอยู่ด้วยกันตลอดเวลา
แต่ควรมีระยะห่างระหว่างกันบางช่วงเวลา
จะยิ่งทำให้ห่วงหาอาทรกันยิ่งกว่าคู่ที่อยู่ด้วยกัน และเห็นหน้ากันตลอด 24 ชม.ซะอีก
“พ่อของผมเล่าถึงเคล็ดลับในการใช้ชีวิตคู่หลังจากแต่งงานกับแม่มานานเกือบ 40 ปี
ด้วยการใช้ห้องน้ำแยกกัน พ่อใช้ห้องนึง ส่วนแม่ก็ใช้อีกห้อง แทนการแยกห้องนอน
ผมว่าเวิร์กดีนะครับ” แอนดรูว์ ชาวอเมริกันเล่า
ส่วนบางคู่ใช้วิธีแยกกันไปทำกิจกรรมกับเพื่อน สัปดาห์ละ 1 วัน ก็ไม่เลว
4. ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีปัญหาแล้วเอ่ยปากเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง
จริงอยู่เขาอยากขอความเห็นจากคนรัก แต่มีไม่น้อยที่อยากระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจให้
“คนรักที่ไว้ใจได้” ฟังต่างหาก ดังนั้น ถ้าเขาเล่าปัญหาให้ฟัง
บางทีทางออกที่ดีที่สุดคือการรับฟังนั่นแหละวิเศษที่สุดแล้ว
@ @ @
เมอร์ลินไทยรัฐออนไลน์
โดย เมอร์ลิน
12/2/2555