Pages

Long Live The king

Long Live The king
Showing posts with label ทอง. Show all posts
Showing posts with label ทอง. Show all posts

April 24, 2013

แบงก์ชาติ-เฮดจ์ฟันด์ป่วนตลาดปั่นราคาทองคำโลก 23.4.56


แบงก์ชาติ-เฮดจ์ฟันด์ป่วนตลาดปั่นราคาทองคำโลก


23 เมษายน 2556 เวลา

ตกอยู่ในอาการตื่นทองกันทั่วโลกในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อราคาทองคำในตลาดดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 33 ปี แถมยังร่วงแรงทำสถิติลงมาเกือบ 10% ภายในหนึ่งวัน เมื่อวันที่ 15 เม.ย. โดยอยู่ที่ 1,361.70 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์
ผลลัพธ์ข้างต้นทำให้นักลงทุน ซึ่งรวมถึงบรรดาธนาคารกลางอีกส่วนหนึ่งซึ่งถือครองเก็บสำรองทองคำอยู่ในสภาวะขาดทุนระนาว เพราะราคาที่หล่นฮวบทำให้มูลค่าของทองคำสำรองเฉพาะของธนาคารกลางหายไปกว่า 5.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 16.24 ล้านล้านบาท) ภายใน 2 วัน
ขณะเดียวกันก็ทำให้นักลงทุนอีกส่วนหนึ่งเห็นเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ โดยหวังว่าราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะตกอยู่ในอาการตื่นทองแบบหวาดผวาหรือยินดี ผู้เชี่ยวชาญในตลาดทองคำส่วนใหญ่ต่างออกโรงเตือนว่า สถานการณ์ผันผวนและเอาแน่เอานอนไม่ได้ในปัจจุบัน ได้แสดงให้เห็นว่าราคาทองคำขณะนี้กำลังเป็นเครื่องมือสำหรับการเก็งกำไรหารายได้ใหม่ของผู้เล่นรายใหญ่ 2 กลุ่ม คือ ธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น กับกองทุนบริหารความเสี่ยง หรือที่รู้จักกันดีในนาม เฮดจ์ฟันด์
เจฟฟรีย์ ซิกา ประธานเอสไอซีเอ เวลท์ แมเนจเมนท์ ในมอร์ริสทาวน์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งดูแลบริหารจัดการเงินทุนต่างชาติมูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ยอมรับว่า สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทองคำไม่ได้เป็นเพียงแหล่งพักสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอีกต่อไป แต่จะเป็นแหล่งลงทุนโกยกำไรที่น่าสนใจสำหรับเฮดจ์ฟันด์
ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ราคาทองคำในตลาดโลกที่ผ่านมาอิงอยู่กับปัจจัยหลักๆ ประมาณ 3-4 ประการ คือ1) ค่าเงินเหรียญสหรัฐ เพราะเมื่อใดก็ตามที่เงินสกุลหลักของโลกอ่อนลง นักลงทุนรวมถึงธนาคารกลางทั่วโลกจะแห่ซื้อทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงและรักษามูลค่าสินทรัพย์ของตนเอง 2) ปริมาณการผลิตและปริมาณความต้องการที่มีอยู่จริงในตลาด ซึ่งเกี่ยวพันกับสภาวะเศรษฐกิจโลก โดยปริมาณความต้องการทองคำจะมาจากอุตสาหกรรมเครื่องประดับ อุตสาหกรรมการผลิตและการแพทย์ และภาคการลงทุนที่ต้องการทองคำมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังเกิดวิกฤตสินเชื่อเป็นต้นมา 3) ความวิตกกังวลในอัตราเงินเฟ้อที่ส่วนใหญ่นิยมสังเกตจากราคาน้ำมันในตลาด เพราะทองคำคือหนึ่งในสินทรัพย์ที่ถือครองเพื่อป้องกันเงินเฟ้อ และ 4) สถานการณ์การเมืองและระบบการเงินที่หากมีสภาวะไม่มั่นคงเมื่อใด นักลงทุนจะแห่เข้าหาทองคำเพื่อใช้เป็นหลักประกันรับรองความปลอดภัยในสินทรัพย์ของตนเองทันที
ทว่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างเห็นตรงกันว่าราคาทองคำอยู่ในสภาวะที่ไม่อาจใช้ปัจจัยข้างต้นมากะเกณฑ์คาดการณ์ได้อีกต่อไป ขณะเดียวกันก็เป็นที่น่าสังเกตว่าความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางในหลายประเทศ และกองทุนเฮดจ์ฟันด์ขนาดใหญ่กลับมีอิทธิพลต่อชะตากรรมของราคาทองคำมากขึ้น
กระทั่งอาจเรียกได้ว่า กลไกราคาทองคำในตลาดโลกบิดเบี้ยวและบิดเบือนด้วยความตั้งใจหรือจงใจของใครบางคนก็คงไม่ผิดนัก
ทั้งนี้ สำหรับภาวะเศรษฐกิจที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ แถมยังมีสภาพคล่องล้นเหลือจากนโยบายอัดฉีดของรัฐบาลหลายประเทศ แทนที่ราคาทองคำจะพุ่งพรวดทำสถิติใหม่เหมือนที่เคยทำได้ในเดือน ก.ย. 2554 ที่ 1,923.70 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แต่ราคาทองคำกลับไม่มีแววกระเตื้องขึ้นตามที่นักลงทุนหลายฝ่ายคาดหวัง
สาเหตุเพราะรายงานข่าวที่ระบุว่าธนาคารกลางไซปรัสกำลังจะขายทองคำสำรองบางส่วนเพื่อระดมทุนให้ได้อีก 1.3 หมื่นล้านยูโร เพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือ 1 หมื่นล้านยูโรจากสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) จนทำให้เกิดกระแสหวาดหวั่นว่าบางประเทศอาจเดินตามรอยไซปรัส ขายทองคำสำรองออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะของตนเอง
ยิ่งเมื่อก่อนหน้าข่าวขายทองคำของธนาคารกลางไซปรัส มีรายงานข่าวที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ของ จอร์จ โซรอส พ่อมดทางการเงินแห่ขายการถือครองทองคำในกองทุนตน แล้วหันมาลงทุนในตลาดหุ้นที่มีแนวโน้มฟื้นตัวมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ตลาดทองคำโลกหม่นหมองไม่น่าสนใจในทันที
นอกจากสถานการณ์ข้างต้นจะปั่นป่วนราคาทองคำในตลาดโลกได้เป็นอย่างดีแล้ว สัญญาณการเก็งกำไรทองคำยังเริ่มปรากฏให้เห็นได้ชัดเจนขึ้นจากการกลับเข้ามาถือครองทองคำ โดยเฉพาะในระยะยาวของบรรดาเฮดจ์ฟันด์ขนาดใหญ่อีกครั้ง
บลูมเบิร์กรายงานว่า แม้ราคาทองคำจะดำดิ่งมากที่สุดในรอบ 33 ปี แต่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ของมหาเศรษฐีอย่าง จอห์น พอลสัน หนึ่งในกองทุนที่ลงทุนรายใหญ่ในตลาดทองคำโลกกลับเลือกที่จะเพิ่มเดิมพันในทองคำมากขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลจากคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าล่วงหน้าของสหรัฐที่พบว่า บรรดาผู้จัดการกองทุนและนักเก็งกำไรต่างถือครองทองคำในระยะยาวเพิ่มอีก 9.8% มาอยู่ที่ 61,579 จุด ทั้งในตลาดฟิวเจอร์สและตลาดออปชั่นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งสิ้นสุดในวันที่ 16 เม.ย.
แดน เดนโบว์ ผู้จัดการกองทุนยูเอสเอเอ พรีเชียส เมทัลส์ แอนด์ มิเนเริลฟันด์ส กล่าวว่า เหตุการณ์ข้างต้นนับเป็นเรื่องน่าแปลกใจท่ามกลางราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงในปัจจุบัน แต่เมื่อพิจารณาจากมูลค่าที่มีอยู่ในตัวเองของทองคำ จึงไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนหลายรายเลือกที่จะพึ่งระยะเวลาให้ช่วยเยียวยาราคาทองคำ
คาเมรอน แบรนด์ต ผู้อำนวยการการวิจัยแห่งเคมบริดจ์ ซึ่งคอยติดตามกระแสความเคลื่อนไหวของทุนในตลาดทั่วโลก ยอมรับว่า การที่ราคาทองคำร่วงลงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดาผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่ต่างเร่งถอนเงินลงทุนออกจากสารพัดกองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 3,700 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.07 แสนล้านบาท) โดยในจำนวนดังกล่าวประมาณ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นเงินทุนที่ไหลออกจากตลาดทองคำและแร่โลหะมีค่าอื่นๆ เช่น เงิน แต่การเทขายส่วนใหญ่ล้วนเป็นการถือครองทองคำระยะสั้น
ขณะที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ของพอลสันแอนด์โค ให้เหตุผลอย่างมั่นใจว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากปริมาณความต้องการซื้อในตลาดเอเชีย โดยเฉพาะจากจีนและอินเดียจะทำให้ราคาทองคำไม่ตกต่ำในระยะยาวแน่นอน
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ราคาทองคำในตลาดโลกทำสถิติดิ่งลงแตะ 1,321.50 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ในวันที่ 16 เม.ย. ราคาทองคำแท่งในขณะนี้ตีตื้นกลับมาแล้ว 5.6% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการแห่ซื้อทองของจีนและอินเดีย
สมาคมทองคำจีน ระบุว่า ยอดขายปลีกในวันที่ 15-16 เม.ย. เพิ่มสูงขึ้นจนน่าตกใจ ด้านสมาคมทองคำแท่งบอมเบย์แห่งอินเดียถึงกับคาดการณ์ว่ายอดนำเข้าทองของประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น 36% ในช่วง 3 เดือนต่อจากนี้เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ผู้ผลิตทองคำรายใหญ่อย่างยูเอส มินท์ ขายทองคำไปได้แล้วทั้งสิ้น 1.675 แสนออนซ์ในเดือน เม.ย. ทำสถิติสูงสุดประจำเดือนนับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2553
นอกจากนี้ พอลสันแอนด์โค ยังระบุอีกว่า ในอนาคตอันใกล้ นโยบายอัดฉีดเงินเข้าระบบของบรรดาธนาคารกลางจะทำให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อแน่นอน ซึ่งการลงทุนในทองคำย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด สอดคล้องกับความเห็นของ แคเธอรีน รอว์ ผู้จัดการกองทุนแบล็กร็อกในลอนดอน หนึ่งในเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ที่ลงทุนในทองคำ ที่ระบุว่าราคาทองคำดิ่งขณะนี้เป็นผลจากภาวะตื่นตระหนกจากกระแสข่าวแห่ขายทองของธนาคารกลางในหลายประเทศเสียมากกว่า
ด้านนักวิเคราะห์อีกส่วนหนึ่งยังให้เหตุผลว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากราคาที่ถูกลงทำให้มีแรงดึงดูดให้ธนาคารกลางบางประเทศตัดสินใจเพิ่มการลงทุนในทองคำหรือเพิ่มปริมาณทุนสำรองทองคำของตนเอง เห็นได้จากธนาคารกลางศรีลังกาที่ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 16 เม.ย. ว่า ราคาทองที่ร่วงลงถือเป็นโอกาสอันดีให้ประเทศเพิ่มทุนสำรอง
แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านทองคำต่างสรุปตรงกันว่า เมื่อพิจารณาราคาทองคำในขณะนี้ควบคู่กับทิศทางแนวโน้มราคาในอนาคต “ทองคำ” อาจเป็นสินทรัพย์ที่อันตรายสำหรับการลงทุนของใครหลายคนก็เป็นได้

April 23, 2013

ทอง...ขาขึ้น-ลง? ตอน 1

รายงาน CFTC ชี้เฮดจ์ฟันด์ยังคงเข้าช้อนซื้อทองหลังราคาดิ่งลงรุนแรง

ASTVผู้จัดการออนไลน์23 เมษายน 2556 

ฮดจ์ฟันด์และนักเก็งกำไรรายใหญ่ในสหรัฐยังคงนำเงินเข้ามาลงทุนในทองถึงแม้ราคาทองดิ่งลงครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์ในรูปของดอลลาร์ในสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้ ตัวเลขที่ออกมาในวันศุกร์ยังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่า มีเงินลงทุนไหลเข้าสู่สินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่นๆ อีกหลายประเภทคณะกรรมการการค้าสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ของสหรัฐ (CFTC) รายงานว่า ผู้จัดการกองทุนถือครองสถานะซื้อสุทธิในสินค้าโภคภัณฑ์ 22 ประเภทในตลาดสหรัฐเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบ 950 ล้านดอลลาร์ หรือ 6% สู่ 5.65 หมื่นล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 16 เม.ย.  
                 ข้อมูลดังกล่าวสร้างความประหลาดใจให้กับเทรดเดอร์และนักวิเคราะห์ ซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินจำนวนมากไหลออกจากทองและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆจำนวนมากในสัปดาห์นี้ หลังจากราคาร่วงลงทั่วตลาดเมื่อวันที่ 15 เม.ย. อันเป็นผลจากความวิตกเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก   
                 นายอดัม ซาร์แฮน ผู้ก่อตั้งบริษัทซาร์แฮน แคปิตอลในนิวยอร์ค กล่าวว่า "ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่จะประหลาดใจที่เห็นตัวเลขนี้ โดยเฉพาะสำหรับทอง"   
                 ข้อมูลจาก CFTC บ่งชี้ว่า สถานะซื้อสุทธิทองในตลาด COMEX ที่ถือครองโดยผู้จัดการตลาดเงินรวมถึงเฮดจ์ฟันด์นั้น พุ่งขึ้น 5,495 สัญญาสู่ 61,579 สัญญา
             ส่วนสัญญาที่ยังไม่มีการซื้อขายในทองซึ่งเป็นตัววัดสภาพคล่องตลาดนั้นพุ่งขึ้น 24%  
                 ราคาทองสปอตปิดที่ระดับสูงกว่า 1,400 ดอลลาร์/ออนซ์เพียงเล็กน้อยในวันศุกร์ โดยลดลงมากกว่า 5% ในรอบสัปดาห์   
                 เมื่อวันจันทร์ที่ 15 เม.ย. ราคาทองร่วงต่ำกว่าระดับ 1,340 ดอลลาร์ โดยดิ่งลงมากกว่า 8% หรือมากกว่า 125 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงมากที่สุดในรอบ 1 วันในรูปสกุลเงินดอลลาร์ ขณะที่ราคาทองได้แรงหนุนบางส่วนในระยะต่อมา ขณะที่กลุ่มผู้บริโภคได้เข้าซื้อทองแท่ง, เหรียญทอง, ก้อนทอง และเครื่องประดับที่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์
                 "ราคาทองดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดอันเป็นผลจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น และแรงซื้อคืน" นายเดวิด มีเจอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายซื้อขายโลหะของวิชั่น ไฟแนนเชียล มาร์เก็ตส์กล่าว   
                 แม้ราคาดีดตัวขึ้น แต่นักวิเคราะห์กล่าวว่า ราคาทองอาจร่วงลงอีกในระยะใกล้  เนื่องจากยังคงมีเงินไหลออกจากกองทุน ETFs ทอง
                 กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุด ของโลก มีเงินไหลออกสุทธิรายสัปดาห์มากที่สุดอันดับ 3 ราว 2.2 พันล้านดอลลาร์ ในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 17 เม.ย.
                 นักวิเคราะห์กล่าวว่า ผู้กำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)อาจแนะนำให้ลดมาตรการกระตุ้นด้านการเงินในระยะใกล้ ซึ่งจะส่งผลกระทบทางลบต่อราคาทอง
                 ส่วนตลาดที่มีสถานะซื้อสุทธิลดลงอย่างมากในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 16 เม.ย. นั้น ได้แก่น้ำมันดิบสหรัฐและน้ำมันเบนซิน   
                 ข้อมูลของ CFTC บ่งชี้ว่า สัญญาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX มีสถานะซื้อสุทธิลดลง 1.2 พันล้านดอลลาร์ หรือลดลง 13,298 สัญญา ขณะที่สัญญาที่ยังไม่มีการซื้อขายเพิ่มขึ้น 2%
                 สถานะซื้อสุทธิของสัญญาน้ำมันเบนซินตลาด NYMEX ร่วงลงราว 1.2พันล้านดอลลาร์หรือ 10,350 สัญญา   
                 สถานะซื้อสุทธิของสัญญาก๊าซธรรมชาติปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 9 ติดต่อกันสู่ระดับสูงสุดครั้งใหม่เป็นประวัติการณ์ ขณะที่มูลค่าของสถานะซื้อสุทธิในตลาด Intercontinental Exchange เพิ่มขึ้นราว 651 ล้านดอลลาร์หรือ 16,411 สัญญา และสัญญาที่ยังไม่มีการซื้อขายเพิ่มขึ้น 4%
       (ข่าวจาก สำนักข่าว รอยเตอร์)
       
       T.Thammasak

KTAM คาดทองลงอีก แนะปรับสัดส่วนลงทุนเหลือ 5 เปอร์เซ็นต์

KTAM คาดทองลงอีก แนะปรับสัดส่วนลงทุนเหลือ 5 เปอร์เซ็นต์
ASTVผู้จัดการออนไลน์21 เมษายน


ผู้จัดการกองทุน บลจ.กรุงไทยมองระยะสั้นราคาทองเตรียมปรับตัวลดลงอีกแม้สัปดาห์ที่ผ่านมารีบาวนด์ขึ้นเล็กน้อยจากแรงซื้อ พร้อมมองแนวต้านอยู่ที่ 1,309 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวรับอยู่ที่ 1,265 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่แรงซื้อแรงขายกองทุนทองคำยังมีไม่มาก คาดนักลงทุนรอจังหวะเก็บของถูกเข้าพอร์ต
       
       นายพีรพงศ์ กิจจาการ ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แรงซื้อกองทุนที่ลงทุนในทองคำไม่ว่าจะเป็น ETF หรือกองทุนรวมนั้นก็มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนพอสมควรแต่ก็ถือว่ายังไม่มากจนน่าตกใจ ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าราคาทองคำ ณ ปัจจุบันยังมีโอกาสปรับลงต่อได้อีก โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองมีการปรับขึ้นเล็กน้อยจากแรงซื้อ
       
       อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายสำนักเริ่มมีการปรับประมาณการราคาทองกันเป็นจำนวนมาก โดยเรามองว่าราคาทองคำจะมีโอกาสกลับขึ้นไปทดสอบที่ 1,420 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยมีแนวต้านอยู่ที่ 1,309 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวรับอยู่ที่ 1,265 ดอลลาร์ต่อออนซ์
       
       ทั้งนี้ ปัจจัยที่สนับสนุนให้ราคาทองคำไปต่อนั้นก็คืออัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ควาเสี่ยงในยูโรโซนยังมีอยู่ต่อเนื่อง นอกจากนี้ ประเทศตลาดเกิดใหม่ต้องการถือทองคำเพิ่มทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามา
       
       ขณะที่ปัจจัยลบที่ส่งผลต่อราคาทองคำนั้นก็คือแรงเทขายจากกองทุน SPDR ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน-12 เมษายนที่ผ่านมากว่า 53.5 ตัน คิดเป็นเงิน 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งแนวโน้มคาดการณ์ว่าอาจจะมีการเทขายเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน สภาพคล่องที่ไหลเข้ามาลงทุนในทองคำตั้งแต่สหรัฐฯ ออกมาตรการ QE3 นั้นเริ่มกลับเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นเพิ่ม เนื่องจากสินทรัพย์ประเภทอื่นเริ่มให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในทองคำ นอกจากนี้เรื่องการเทขายทองของไซปรัส และอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็มีผลต่อการปรับลงของราคาทองคำด้วยเช่นกัน
       
       นายพีรพงศ์กล่าวต่อว่า เราประเมินว่าในระยะสั้นนี้ราคาทองน่าจะปรับตัวลงต่อ แต่ในระยะกลางความเสี่ยงเรื่องราคาจะปรับลดลง สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนในทองคำช่วงนี้เชื่อว่าในระยะกลางนักลงทุนควรทยอยลงทุนและถือไว้ในพอร์ตประมาณ 10-15% ส่วนการลงทุนในช่วงนี้น่าจะมีอยู่ในพอร์ตประมาณ 5%
       
       ทางด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าในระยะข้างหน้าตลาดทองคำยังคงต้องเตรียมรับมือกับภาวะผันผวน เนื่องจากตัวแปร/เงื่อนไขที่จะเอื้อต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดทองคำอาจจะไม่เกิดขึ้นในจังหวะเวลาที่สอดคล้องกัน โดยอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นของแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและวิกฤตหนี้ยูโรโซน ตลอดจนภาวะเงินเฟ้อในหลายประเทศที่เป็นแกนนำของโลก ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ
       
       ดังนั้น แม้ตลาดน่าจะรับรู้ตัวแปรจากมาตรการ QE ของเฟดไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่คงต้องประเมินสัญญาณความต่อเนื่องของการใช้ QE จากเฟด รวมถึงทิศทางที่ชัดเจนขึ้นของการเยียวยาปัญหาเศรษฐกิจ/เงินฝืดในญี่ปุ่น และปัญหาหนี้ในยูโรโซนประกอบด้วย เพราะต้องยอมรับว่าปัจจัยเหล่านี้ย่อมจะย้อนกลับมามีผลในการกำหนดทิศทางเงินดอลลาร์ และราคาทองคำในช่วงนับจากนี้เช่นกัน
       
       โดยนอกจากจะต้องจับตาทิศทางการซื้อ-ขายในระยะสั้นแล้ว การประเมินสถานการณ์ตลาดทองคำยังอาจต้องจับสัญญาณปัจจัยพื้นฐาน เช่น สถานการณ์วิกฤตหนี้ยูโรโซน ความเสี่ยงเงินเฟ้อ และผลตอบแทนของสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่อื่นๆ โดยเปรียบเทียบกับทองคำประกอบด้วย