หน้าผาทางการคลังคืออะไร (Fiscal cliff) ?
สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญในระยะนี้และคาดว่าน่าจะต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี คือ ความกังวลที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะตก "หน้าผาทางการคลัง" (Fiscal cliff) คำถามก็คือ อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าหน้าผาทางการคลัง และเหตุใดจึงกลายเป็นประเด็นที่ผู้คนทั่วโลกต้องจับตามอง
หน้าผาทางการคลัง คือ การที่เศรษฐกิจของประเทศสูญเสียแรงขับเคลื่อนทางการคลังอย่างฉับพลันและรุนแรง เนื่องจากมาตรการด้านการคลังชั่วคราวที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในยามที่เกิดวิกฤตินั้นสิ้นสุดลง ยิ่งมาตรการนั้นๆ มีขนาดใหญ่มากเท่าไร เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของมาตรการก็จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจสูญเสียแรงส่งมากขึ้นเท่านั้น และนั่นหมายถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจถูกฉุดให้ลดต่ำลงหรืออาจรุนแรงถึงขั้นเศรษฐกิจถดถอยก็เป็นได้ ดังนั้นเหตุการณ์เช่นนี้จึงเปรียบเสมือนกับว่าเศรษฐกิจ "ตกหน้าผาทางการคลัง"
หน้าผาทางการคลังของสหรัฐฯ สูงขนาดไหน ?
ปัจจุบันสหรัฐฯ มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ค่อนข้างสูงถึงราว 100% ของ GDP และมีการขาดดุลงบประมาณสูงถึงราว 9.5% ของ GDP ในปี 2011 ทำให้สหรัฐฯ ต้องเข้าสู่กระบวนการตัดงบประมาณอัตโนมัติ หรือที่เรียกกันว่า "Sequestration" ซึ่งเป็นการลดรายจ่ายทางด้านการคลังของสหรัฐฯ ลงปีละราว 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นระยะเวลา 10 ปี โดยการตัดลดรายจ่ายนี้กำลังจะเริ่มต้นในปี 2013
นอกจากนี้ภายในสิ้นปี 2012 ยังมีมาตรการกระตุ้นทางการคลังชั่วคราวอีกจำนวนมากที่กำลังจะสิ้นสุดระยะเวลา โดยส่วนที่น่ากังวลมากที่สุดคือการสิ้นสุดระยะเวลาการตัดลดภาษีเงินได้ (Payroll-tax cut) ซึ่งเริ่มมีขึ้นในสมัยประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช เมื่อปี 2001 และปี 2003 การสิ้นสุดมาตรการดังกล่าวทำให้รัฐบาลต้องเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจากประชาชนในปี 2013 รวมทั้งสิ้นราว 180 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีมาตรการชั่วคราวอื่นๆ อย่างเช่น การให้เครดิตภาษีการลงทุน (Investment tax credit) และการเพิ่มเงินสวัสดิการสำหรับผู้ว่างงาน (Jobless benefits) ที่กำลังจะสิ้นสุดระยะเวลาพร้อมกันในวันที่ 31 ธันวาคม 2012 นี้เช่นเดียวกัน หลังจากที่เคยได้ขยายระยะเวลาสิ้นสุดมาตรการมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2010
ทั้งนี้เมื่อคำนวณผลรวมของภาษีและการใช้จ่ายของรัฐบาลที่ลดลงไป ทำให้ตัวเลขการขาดดุลการคลังของรัฐบาลระหว่างปีงบประมาณ 2012 และปี 2013 ลดลงราว 607 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4% ของ GDP1 ซึ่งเมื่อเทียบกับตัวเลขประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปี 2013 นั้นอยู่ที่เพียงราว 2.2% ทำให้หลายฝ่ายกังวลกันว่า "การตกหน้าผาทางการคลัง" ครั้งนี้อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ จนถึงขั้นทำให้เศรษฐกิจถดถอยได้
สิ่งที่เป็นอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาครั้งนี้คืออะไร และจะเกิดอะไรขึ้นหากรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขได้ทัน?
เนื่องจากวันสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชั่วคราวอยู่หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ แค่เพียงไม่ถึง 2 เดือน จึงมีโอกาสที่รัฐบาลที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้งจะไม่สามารถดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงการตกหน้าผาทางการคลังได้ทันเวลา กล่าวคือ สภา Congress อาจไม่สามารถเลื่อนหรือขยายเวลาบางมาตรการออกไปได้ทันภายในเวลา 2 เดือน หรืออาจไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าการปล่อยให้ภาคการคลังหดตัวอย่างรวดเร็วและรุนแรงในช่วงต้นปี 2013 ซึ่งก่อนหน้านี้ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาสภา Congress ได้เคยล้มเหลวในการตกลงการลดการใช้จ่ายและเพิ่มเพดานหนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ทำให้มีโอกาสที่ครั้งนี้จะประสบความล้มเหลวซ้ำรอยอีกครั้ง นอกจากนี้นโยบายของทั้ง 2 พรรคการเมือง (Democrat และ Republican) ในเรื่องการคลังยังมีความแตกต่างกันมาก ทำให้จนถึงบัดนี้ยังไม่มีข้อสรุปว่าสหรัฐฯ จะมีวิธีการรับมือกับปัญหาที่รออยู่ข้างหน้าอย่างไร
ถ้าหากรัฐบาลไม่สามารถนำพาเศรษฐกิจของประเทศหนีจากการตกหน้าผาทางการคลังได้ทัน อาจมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือด้วยการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มแรงส่งให้แก่เศรษฐกิจ อย่างเช่นมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 3 (QE3) อย่างไรก็ดี นโยบายการเงินคงไม่สามารถชดเชยการหดตัวทางการคลังในครั้งนี้ได้อย่างเพียงพอ ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ การใช้จ่ายในประเทศ (Domestic demand) จะลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการบริโภคภาคเอกชน เนื่องจากภาษีเงินได้ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้การใช้จ่ายภาครัฐก็ลดลงตามโปรแกรม Sequestration ด้วยเช่นกัน
ผลกระทบต่อประเทศไทยเป็นอย่างไร?
ไม่ว่าผลสุดท้ายแล้วสหรัฐฯ จะสามารถหลีกเลี่ยงการตกหน้าผาทางการคลังได้หรือไม่ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลงในช่วงปลายปีนี้จนถึงต้นปีหน้า เพราะหากพิจารณากรณีที่รัฐบาลสามารถขยายระยะเวลามาตรการลดภาษี หรือตัดค่าใช้จ่ายออกไปได้อีกครั้ง อาจจะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงได้ เนื่องจากระดับหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ในระดับสูงและไม่ได้ลดลง ซึ่งการลดอันดับความน่าเชื่อถืออาจทำให้เงินไหลออกจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ไปยังประเทศอื่นที่มีอันดับความน่าเชื่อถือดีกว่าได้ และนั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง
ในทางกลับกัน หากสหรัฐฯ ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการหลีกเลี่ยงหน้าผาทางการคลังได้ จะเป็นความเสี่ยงให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย และมีโอกาสที่เฟดจะใช้มาตรการ QE3 มาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งย่อมส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนลงและส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาคอื่นแข็งขึ้น รวมถึงเอเชีย และค่าเงินบาท
ระหว่างการรอลุ้นผลสรุปว่าสหรัฐฯ จะมีวิธีการจัดการกับหน้าผาทางการคลังนี้อย่างไร ตลาดการเงินอาจมีความผันผวนเป็นระยะจากความกังวล เช่นเดียวกับความกังวลต่อปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป ซึ่งเป็นสาเหตุให้ตลาดการเงินโลกรวมถึงประเทศไทยผันผวนมากในช่วงครึ่งปีแรก และถ้าหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวแรง หรือถดถอยจริงก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยผ่านการส่งออก ความเชื่อมั่นการบริโภค และการลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขอบคุณ.. ข้อมูลนิตยสารการเงินการธนาคาร ..
สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญในระยะนี้และคาดว่าน่าจะต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี คือ ความกังวลที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะตก "หน้าผาทางการคลัง" (Fiscal cliff) คำถามก็คือ อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าหน้าผาทางการคลัง และเหตุใดจึงกลายเป็นประเด็นที่ผู้คนทั่วโลกต้องจับตามอง
หน้าผาทางการคลัง คือ การที่เศรษฐกิจของประเทศสูญเสียแรงขับเคลื่อนทางการคลังอย่างฉับพลันและรุนแรง เนื่องจากมาตรการด้านการคลังชั่วคราวที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในยามที่เกิดวิกฤตินั้นสิ้นสุดลง ยิ่งมาตรการนั้นๆ มีขนาดใหญ่มากเท่าไร เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของมาตรการก็จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจสูญเสียแรงส่งมากขึ้นเท่านั้น และนั่นหมายถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจถูกฉุดให้ลดต่ำลงหรืออาจรุนแรงถึงขั้นเศรษฐกิจถดถอยก็เป็นได้ ดังนั้นเหตุการณ์เช่นนี้จึงเปรียบเสมือนกับว่าเศรษฐกิจ "ตกหน้าผาทางการคลัง"
หน้าผาทางการคลังของสหรัฐฯ สูงขนาดไหน ?
ปัจจุบันสหรัฐฯ มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ค่อนข้างสูงถึงราว 100% ของ GDP และมีการขาดดุลงบประมาณสูงถึงราว 9.5% ของ GDP ในปี 2011 ทำให้สหรัฐฯ ต้องเข้าสู่กระบวนการตัดงบประมาณอัตโนมัติ หรือที่เรียกกันว่า "Sequestration" ซึ่งเป็นการลดรายจ่ายทางด้านการคลังของสหรัฐฯ ลงปีละราว 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นระยะเวลา 10 ปี โดยการตัดลดรายจ่ายนี้กำลังจะเริ่มต้นในปี 2013
นอกจากนี้ภายในสิ้นปี 2012 ยังมีมาตรการกระตุ้นทางการคลังชั่วคราวอีกจำนวนมากที่กำลังจะสิ้นสุดระยะเวลา โดยส่วนที่น่ากังวลมากที่สุดคือการสิ้นสุดระยะเวลาการตัดลดภาษีเงินได้ (Payroll-tax cut) ซึ่งเริ่มมีขึ้นในสมัยประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช เมื่อปี 2001 และปี 2003 การสิ้นสุดมาตรการดังกล่าวทำให้รัฐบาลต้องเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจากประชาชนในปี 2013 รวมทั้งสิ้นราว 180 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีมาตรการชั่วคราวอื่นๆ อย่างเช่น การให้เครดิตภาษีการลงทุน (Investment tax credit) และการเพิ่มเงินสวัสดิการสำหรับผู้ว่างงาน (Jobless benefits) ที่กำลังจะสิ้นสุดระยะเวลาพร้อมกันในวันที่ 31 ธันวาคม 2012 นี้เช่นเดียวกัน หลังจากที่เคยได้ขยายระยะเวลาสิ้นสุดมาตรการมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2010
ทั้งนี้เมื่อคำนวณผลรวมของภาษีและการใช้จ่ายของรัฐบาลที่ลดลงไป ทำให้ตัวเลขการขาดดุลการคลังของรัฐบาลระหว่างปีงบประมาณ 2012 และปี 2013 ลดลงราว 607 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4% ของ GDP1 ซึ่งเมื่อเทียบกับตัวเลขประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปี 2013 นั้นอยู่ที่เพียงราว 2.2% ทำให้หลายฝ่ายกังวลกันว่า "การตกหน้าผาทางการคลัง" ครั้งนี้อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ จนถึงขั้นทำให้เศรษฐกิจถดถอยได้
สิ่งที่เป็นอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาครั้งนี้คืออะไร และจะเกิดอะไรขึ้นหากรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขได้ทัน?
เนื่องจากวันสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชั่วคราวอยู่หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ แค่เพียงไม่ถึง 2 เดือน จึงมีโอกาสที่รัฐบาลที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้งจะไม่สามารถดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงการตกหน้าผาทางการคลังได้ทันเวลา กล่าวคือ สภา Congress อาจไม่สามารถเลื่อนหรือขยายเวลาบางมาตรการออกไปได้ทันภายในเวลา 2 เดือน หรืออาจไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าการปล่อยให้ภาคการคลังหดตัวอย่างรวดเร็วและรุนแรงในช่วงต้นปี 2013 ซึ่งก่อนหน้านี้ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาสภา Congress ได้เคยล้มเหลวในการตกลงการลดการใช้จ่ายและเพิ่มเพดานหนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ทำให้มีโอกาสที่ครั้งนี้จะประสบความล้มเหลวซ้ำรอยอีกครั้ง นอกจากนี้นโยบายของทั้ง 2 พรรคการเมือง (Democrat และ Republican) ในเรื่องการคลังยังมีความแตกต่างกันมาก ทำให้จนถึงบัดนี้ยังไม่มีข้อสรุปว่าสหรัฐฯ จะมีวิธีการรับมือกับปัญหาที่รออยู่ข้างหน้าอย่างไร
ถ้าหากรัฐบาลไม่สามารถนำพาเศรษฐกิจของประเทศหนีจากการตกหน้าผาทางการคลังได้ทัน อาจมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือด้วยการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มแรงส่งให้แก่เศรษฐกิจ อย่างเช่นมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 3 (QE3) อย่างไรก็ดี นโยบายการเงินคงไม่สามารถชดเชยการหดตัวทางการคลังในครั้งนี้ได้อย่างเพียงพอ ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ การใช้จ่ายในประเทศ (Domestic demand) จะลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการบริโภคภาคเอกชน เนื่องจากภาษีเงินได้ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้การใช้จ่ายภาครัฐก็ลดลงตามโปรแกรม Sequestration ด้วยเช่นกัน
ผลกระทบต่อประเทศไทยเป็นอย่างไร?
ไม่ว่าผลสุดท้ายแล้วสหรัฐฯ จะสามารถหลีกเลี่ยงการตกหน้าผาทางการคลังได้หรือไม่ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลงในช่วงปลายปีนี้จนถึงต้นปีหน้า เพราะหากพิจารณากรณีที่รัฐบาลสามารถขยายระยะเวลามาตรการลดภาษี หรือตัดค่าใช้จ่ายออกไปได้อีกครั้ง อาจจะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงได้ เนื่องจากระดับหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ในระดับสูงและไม่ได้ลดลง ซึ่งการลดอันดับความน่าเชื่อถืออาจทำให้เงินไหลออกจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ไปยังประเทศอื่นที่มีอันดับความน่าเชื่อถือดีกว่าได้ และนั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง
ในทางกลับกัน หากสหรัฐฯ ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการหลีกเลี่ยงหน้าผาทางการคลังได้ จะเป็นความเสี่ยงให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย และมีโอกาสที่เฟดจะใช้มาตรการ QE3 มาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งย่อมส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนลงและส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาคอื่นแข็งขึ้น รวมถึงเอเชีย และค่าเงินบาท
ระหว่างการรอลุ้นผลสรุปว่าสหรัฐฯ จะมีวิธีการจัดการกับหน้าผาทางการคลังนี้อย่างไร ตลาดการเงินอาจมีความผันผวนเป็นระยะจากความกังวล เช่นเดียวกับความกังวลต่อปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป ซึ่งเป็นสาเหตุให้ตลาดการเงินโลกรวมถึงประเทศไทยผันผวนมากในช่วงครึ่งปีแรก และถ้าหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวแรง หรือถดถอยจริงก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยผ่านการส่งออก ความเชื่อมั่นการบริโภค และการลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขอบคุณ.. ข้อมูลนิตยสารการเงินการธนาคาร ..