Pages

Long Live The king

Long Live The king

September 29, 2013

กินโยเกิรต นมเปรี้ยวอย่างไรได้ประโยขน์

กินโยเกิร์ต-นมเปรี้ยวอย่างไร? ได้ประโยชน์!

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2556 เวลา 00:00 น.
คลับสุขภาพศุกร์นี้มาเติมสิ่งดีๆ ให้กับกระเพาะอาหารและสำไส้ หลายคนอาจทราบว่า โยเกิร์ตและนมเปรี้ยว เป็นอาหารอีกชนิดที่ดีต่อสุขภาพ แต่ที่มีอยู่ในท้องตลาดนั้น ไม่ใช่ทุกชนิดที่ทานแล้วได้ประโยชน์จริงๆ
โยเกิร์ต (Yoghurt) และนมเปรี้ยว (Drinking yoghurt) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนมสด หรือนมพร่องมันเนย โดยการใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส และสเตรปโตคอคคัส เป็นหลัก ใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ จากนั้นแบคทีเรียเหล่านี้จะช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติค จนมีภาวะกรด และมีรสเปรี้ยว โดยความเป็นกรด-ด่าง อยู่ระหว่าง 3.8-4.6 หลังนำแบคทีเรียข้างต้นไปหมักกับนมก็จะได้เป็นนมเปรี้ยว ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ชนิดแรกเป็น ‘นมเปรี้ยว’ ที่มีลักษณะเป็นน้ำคล้ายเครื่องดื่ม อีกชนิดหนึ่งเป็นนมเปรี้ยว ที่มีลักษณะเหลวข้นที่เรียกว่า ‘โยเกิร์ต’ นั่นเองค่ะ
โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวยังได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดอาหารมีประโยชน์ที่ผลิตจากนมโค อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ มีสารอาหารครบถ้วนเทียบเท่ากับนมโคสด และในบางตำรายังกล่าวว่า ให้คุณค่าทางโภชนาการดีกว่านมสด เช่น โปรตีนเคซีนในนมเปรี้ยวจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ต่อร่างกายได้ดีกว่า เพราะย่อยสลายได้ง่ายกว่า
สำหรับโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่เราคุ้นเคยกันอยู่นั้น อาจไม่ใช่โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่กำลังจะกล่าวถึง เพราะจุดประสงค์ของการทานโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่ถูกต้อง คือ ทานแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตจำนวนมาก (ประมาณหมื่นล้านตัวต่อกรัม) เพื่อหวังผลต่อสุขภาพ
ส่วนโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่เราซื้อหากันในท้องตลาด ส่วนใหญ่ทำขึ้นโดยการปรุงแต่งรสชาติให้อร่อย บางชนิดไม่สมควรเรียกว่าโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวด้วยซ้ำ เพราะนำไปฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิสูงและนำมาบรรจุกล่อง ซึ่งแท้ที่จริงน่าจะเรียกว่าซากโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวมากกว่านะคะ แถมบางชนิดใส่น้ำตาลมากไปจนน่าสงสัยว่าจะได้ประโยชน์จากโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวจริงๆ หรือไม่ และบางชนิดมีการเจือจางจนปริมาณแบคทีเรียเหลือจนอยู่น้อยมาก
ดังนั้นโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่ดี ไม่ควรมีส่วนผสมอย่างอื่นเข้าไปเจือปน ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล สี สารเจลาติน กลิ่น รสสังเคราะห์ เพราะทำให้คุณค่าของโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวด้อยลง แม้ว่าเราอาจจะไม่คุ้นเคยต่อโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวรสธรรมชาติ แต่ขอให้คำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ท่านก็จะสามารถทานโยเกิร์ตธรรมชาติด้วยความสบายใจและอร่อยกันค่ะ
มาดูกันต่อนะคะว่า โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวส่งผลดีต่อร่างกายอย่างไร...
1.โยเกิร์ตย่อยง่าย เพราะน้ำตาลแลคโตสเป็นตัวหลักที่ทำให้เกิดการแพ้นมหรือท้องเสียถูกเปลี่ยนเป็นกรดแลคติกที่ย่อยง่าย นอกจากนี้แบคทีเรียในโยเกิร์ตยังมีเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีนนม ที่ชื่อ เคซีน ซึ่งเป็นโปรตีนย่อยยาก ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น ลดปัญหาภูมิแพ้ต่อน้ำตาลแลคโตสและโปรตีนเคซีน
2.เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยยับยั้งจุลชีพที่ไม่เป็นมิตรในลำไส้ โดยกรดแลคติคจะช่วยต่อต้านจุลชีพที่อาจให้โทษต่อร่างกาย เช่น เชื้อซัลโมเนลา, อี โคไล, โคลินแบคทีเรีย ทำให้เชื้อเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายได้ เราจึงควรทานโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีกลุ่มแบคทีเรียที่ดีอาศัยอยู่ภายในลำไส้
3.เป็นแหล่งวิตามินบี โดยเฉพาะวิตามิน บี1(ไรโบฟลาวิน) แบคทีเรียในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวยังช่วยสังเคราะห์วิตามินบี และวิตามินเค ในลำไส้
4.ช่วยรักษาอาการท้องเสีย ท้องเดิน และแผลในกระเพาะอาหาร จากการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยเด็กหายจากอาการท้องเสียเร็วขึ้น หลังจากได้ทานโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว
5.ร่างกายดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น กรดแลคติคในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวช่วยทำให้การย่อยแคลเซียมในนมดีขึ้นและทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมง่ายขึ้น
6.เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวจะมีโปรตีนมากกว่าในนม ร้อยละ20 และยังเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมไปได้ดี
7.ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ เพราะแลคโตบาซิลัสช่วยควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้
8.ช่วยป้องกันมะเร็ง โดยแลคโตบาซิลัสสามารถจับกับสารก่อมะเร็ง ทั้งยังสามารถจับกับโลหะหนัก และกรดน้ำดีซึ่งมีพิษ แลคโตบาซิลัสช่วยยับยั้งกลุ่มแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างสารไนเตรทได้ (สารไนเตรทเป็นสารก่อมะเร็งตัวหนึ่ง) และแลคโตบาซิลัสยังช่วยเปลี่ยนสารฟลาโวนอยด์จากพืชให้เป็นสารต้านมะเร็งได้
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้อ่านคงต้องรีบไปหาโยเกิร์ตและนมเปรี้ยว ที่มีคุณสมบัติดีๆ มาติดตู้เย็นกันแล้วใช่ไหมคะ ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน เพื่อร่างกายของเรา และคนที่เรารักให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงกันเถอะค่ะ อย่าลืมค่ะว่า You are what you eat เลือกทานอะไรดีๆ จะได้มีร่างกายที่แข็งแรงกันนะคะ.
"PrincessFangy"
twitter.com/PrincessFangy
อ้างอิงบางส่วนจาก www.goodhealth.co.th

September 27, 2013

เทศกาลวันไหว้พระจันทร์

เทศกาลวันไหว้พระจันทร์ 

ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 ตามจันทรคติ ของจีน (ซึ่งในปีนี้ ตรงกับวันที่ 19 กันยายน 2556) ดังนั้น จึงเรียก ว่าเทศกาลเดือนแปด (เดือนกันยายน หรือตุลาคม) เป็นเทศกาลที่มีความสำคัญเทศกาลหนึ่ง ของชาวจีน เป็นวันซึ่งอยู่ในช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงพอดีจึงอาจจะเรียกได้ว่า เทศกาล 中秋 ” จงชิว “ ตามอักษรจีน 中 จง แปลว่า กลาง 秋 ชิว แปลว่า ฤดูใบไม้ร่วง จงชิวจึงแปลว่า กลางฤดูใบไม้ร่วง

เนื่องด้วยในช่วงเวลาของเทศกาลไหว้พระจันทร์ เป็นช่วงที่พระจันทร์เต็มดวงใหญ่ที่สุด และส่องสว่างที่สุด เป็นช่วงที่ชาวบ้านรับรู้และถือปฏิบัติมานมนามว่าเป็นวันที่มีเสน่ห์และโรแมนติกวันหนึ่ง โดยเฉพาะภายใต้พระจันทร์ขาวนวลผ่องกลม ๆ ที่ส่องอยู่บนท้องฟ้า วันนี้เป็นวันที่พระจันทร์กลมและใหญ่เป็นพิเศษ จึงเหมาะอย่างยิ่งที่บรรยากาศนี้จะเป็นโอกาสที่เหล่าหนุ่มสาวคู่รักนัดพบกัน และจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การเซ่นไหว้พระจันทร์ การคำนับพระจันทร์

ในเทศกาลนี้ ชาวจีนจะเฉลิมฉลองด้วยการไหว้ดวงจันทร์ในเวลากลางคืน ในบางประเทศ เช่น ฮ่องกง, ไต้หวัน, สิงคโปร์ หรือเวียดนามจะจัดเป็นประเพณีใหญ่ มีการเฉลิมฉลองด้วยโคมไฟสีแดง เป็นสีสันยามค่ำคืน หรือบางแห่งอาจมีการเชิดมังกร ทั้งนี้จะมีชื่อเรียกต่างกันออกไปตามแต่ท้องถิ่น
วันไหว้พระจันทร์มีความสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือได้รับการนิยามว่าเป็น “วันแห่งการอยู่พร้อมหน้าของครอบครัว” เพราะชาวจีนเห็นว่า วงกลมของพระจันทร์เปรียบเสมือนการครบถ้วนบริบูรณ์ของสมาชิกครอบครัวนั่นเอง

ฉะนั้น ชาวจีนจึงนิยมอยู่กันพร้อมหน้าในวันไหว้พระจันทร์ รับประทานอาหารร่วมกัน รอจนถึงเวลาที่จันทร์เพ็ญลอยกระจ่างฟ้า ก็จะกางโต๊ะในลานกลางแจ้ง จัดผลไม้ขนมขบเคี้ยวและอาหารอื่นๆ หลากหลายไว้บนโต๊ะ แล้วจึงเซ่นไหว้พระจันทร์ด้วยกัน ขอให้มีความสุขและความบริบูรณ์กันถ้วนหน้า
月饼”เยว่ปิ่ง” (Yue Bing) หรือ “ขนมไหว้พระจันทร์” (Moon Cake) เป็นของกินที่ขาดเสียไม่ได้ในเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ มีการจำหน่ายกันล่วงหน้าก่อนวันไหว้พระจันทร์ประมาณ 1 เดือน แต่หลังจากวันไหว้พระจันทร์ผ่านไปแล้วก็จะไม่มีผู้ซื้ออีก ขนมไหว้พระจันทร์จะทำเป็นรูปกลม จะสอดไส้ชนิดต่างๆ เช่น งา อบเชย ถั่วลิสงและถั่วบด เป็นต้น ปัจจุบันนั้นได้มีการประยุกต์ไส้และรูปแบบของขนมไหว้พระจันทร์ขึ้นมามากมายเช่น ทุเรียน ไข่เค็ม ไอศครีม รวมถึงสีสันเพื่อเป็นเอกลักษณ์ของผู้จัดจำหน่ายอีกด้วย


เทศกาลวันไหว้พระจันทร์

Cr.http://club.sanook.com/8365/เทศกาลไหว้พระจันทร์

http://club.sanook.com/8365/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C

September 26, 2013

การเลือกใช้ยาสีฟัน


          ยาสีฟัน
เป็นของคู่กันกับการแปรงฟัน เพราะนอกจากจะช่วยในการทำความสะอาดฟันและเหงือกแล้ว ยังทำให้เรารู้สึกสดชื่นหลังจากแปรงฟันด้วย

 ส่วนประกอบในยาสีฟัน 
          ปัจจุบันมียาสีฟันจำนวนมากที่วางขายตามท้องตลาด ทำให้หลายคนมีคำถามว่าจะเลือกใช้ยาสีฟันยี่ห้อไหนดี การเลือกใช้ยาสีฟันมีหลักง่ายๆ คือ เลือกตามความต้องการโดยดูจากส่วนประกอบสำคัญในยาสีฟันนั้นๆ โดยทั่วไปยาสีฟันที่นิยมใช้จะมีลักษณะเป็นครีมข้นประกอบด้วยผงขัดที่ละเอียดเพื่อช่วยขจัดคราบฟัน มีสารที่ทำให้เกิดฟองซึ่งจะช่วยให้คราบฟันถูกขจัดออกได้ง่าย มีการแต่งกลิ่นและรสเพื่อให้น่าใช้ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีสารเก็บความชื้น สารช่วยยึด สารกันบูดและสารฟลูออไรด์

การเลือกใช้ยาสีฟัน 
ส่วนประกอบของยาสีฟันแต่ละยี่ห้อจะแตกต่างกัน จึงควรเลือกใช้ตามวัตถุประสงค์ของแต่ละคนดังนี้
          1. ช่วยในการป้องกันฟันผุ ส่วนประกอบในยาสีฟันที่มีผลต่อการป้องกันฟันผุคือ ฟลูออไรด์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปแล้วว่า ฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุได้จริง ในประเทศไทยกำหนดให้เติมฟลูออไรด์ในยาสีฟันได้ไม่เกินร้อยละ 0.11 หรือ 1,100 ส่วนในส่วนประกอบล้านส่วน (ppm.) และต้องได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยา หรือ อย. ด้วยยาสีฟันส่วนใหญ่ที่มีขายทั่วไปมักจะมีฟลูออไรด์ผสมอยู่ด้วย และหลายยี่ห้อจะมีคำว่า เอฟ (F) ต่อท้าย แต่ก็มีบางยี่ห้อที่มีคำว่า เอฟ แต่ไม่มีฟลูออไรด์ ฉะนั้นเราจึงควรศึกษารายละเอียดข้างกล่องในการเลือกใช้ให้ถูกต้อง
          รูปแบบของฟลูออไรด์ที่ใช้มี ชนิดคือ โซเดียมฟลูออไรด์กับโซเดียมโมโนฟลูออไรด์ฟอสเฟต ซึ่งในแต่ละยี่ห้อจะผสมสัดส่วนของฟลูออไรด์ทั้งสองต่างๆ กัน หรือใช้เพียงอย่างเดียว
          ส่วนยาสีฟันที่ใช้สำหรับเด็กจะมีปริมาณฟลูออไรด์ต่ำกว่า 1,000 PPM. เช่น คอลเกตจูเนียร์มีฟลูออไรด์ 500 PPM. และโคโดโมเจลมีฟลูออไรด์ 850 PPM. ทั้งนี้เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากการที่เด็กกลืนฟลูออไรด์เข้าไปมากเกินไป อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพในการป้องกันฟันผุก็จะลดลงด้วย
          2. ช่วยในการลดเชื้อซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเหงือกและฟันผุ ในยาสีฟันบางยี่ห้อมีการเติมารที่ช่วยในการลดเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคเหงือกและฟันผุ เช่น สารไตรโคซาน ตัวอย่างเช่น คอลเกตโททอล ช้ไตรโคซานเป็นส่วนประกอบ ซึ่งจะคงตัวอยู่ในช่องปากได้นาน 4-12 ชั่วโมงภายหลังการใช้ สารอีกตัวหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการลดเชื้อในช่องปากได้เช่นกัน ก็คือ สารไธมอล ซึ่งเป็นสารลดเชื้อที่มีอยู่ในยาสีฟันใกล้ชิดและพบว่า เป็นส่วนประกอบสำคัญของน้ำยาบ้วนปากลิสเตรอรีน ด้วย เพราะสารไธมอลจะคงตัวอยู่ในช่องปาก และยังคงมีฤทธิ์ในการระงับเชื้อภายหลังการใช้ประมาณ 2 ชั่วโมง ส่วนสารอีกตัวที่กำลังมาแรงก็คือ ทีที ออยส์ มีอยู่ในยาสีฟันใกล้ชิด แต่การคงตัวในช่องปากจะค่อนข้างต่ำเช่นเดียวกับไธมอล
          3. ช่วยในการทำให้ฟันขาวขึ้น โดยการขัดคราบสีฟันออกทำให้ฟันขาวสะอาดขึ้น ยาสีฟันในกลุ่มนี้จึงเน้นไปที่ผงขัดฟันที่มีความหยาบกว่าปกติ เช่น ไดแคลเซียมฟอสเฟต (แซคท์) อลูมินั่มไฮดรอกไซด์ (เดนิวิท) อลูมินั่มออกไซด์ (คอลเกต-เซนเซชั่น) แคลไซน์อลูมินา (ดาร์ลี่ เฟรช แอนด์ ไบรท์) ซิลิคอนไดออกไซด์ (ใกล้ชิด) อลูมินั่มซิลิเกท (Glister)
          ส่วนการทำให้ฟันขาวขึ้นอีกวิธีหนึ่ง คือ การฟอกสีฟัน (Bleeching) พบว่า มีเพียงสปาร์เกิ้ลสูตรเปอร์ออกไซด์เท่านั้นที่มีคาร์บาไมค์เปอร์ออกไซด์ ร้อยละ ซึ่งเป็นสารที่สามารถฟอกสีฟันให้ขาวขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม โอกาสที่สารเปอร์ออกไซด์จะก่อให้เกิดการแพ้ และระคายเคืองต่อเหงือกมีได้สูง จึงควรระมัดระวังในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้สักหน่อย
          4. ช่วยลดอาการเสียวฟัน มีการใช้สาร ชนิด คือ สตรอนเตรียม คลอไรด์ (เซ็นโซดายน์สีแดง) และโปรตัสเซียมไนเตรดในการลดอาการเสียวฟัน โดยจะสามารถแก้เสียวฟันได้หลังการใช้ยาสีฟันประมาณ 20 ครั้งขึ้นไป ช่วยในการรักษาโรคเหงือก จะมีการใส่สารหรือสมุนไพรต่างๆ เข้าไปในยาสีฟัน เพื่อช่วยในการรักษาโรคเหงือก โดยจะช่วยลดเชื้อ Methyl-4-Esculetal Sodium (ไพโอดอลทิล) กานพลู หรือ Clove oil ฯลฯ สารบางตัวจะเพิ่มความแข็งแรงของเหงือก เช่น วิตามิน P, โปรวิตามินบี 5, Allantoin ฯลฯ ส่วนคาโมไมล์ จะมีฤทธิ์ในการลดการอักเสบ ทรานเอกชามิค เอซิด (ซอลท์) จะช่วยห้ามเลือด เป็นต้น 

ยาสีฟันสมุนไพร 

 ยาสีฟันสมุนไพร –
          สมุนไพรไทยที่นำมาใช้ในยาสีฟัน ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยข่อย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีตั้งแต่โบราณมาแล้ว ส่วนที่นำมาใช้คือ กิ่งเล็กๆ หรือเปลือก เนื่องจากพบว่าเปลือกข่อยมีสารเทนนิน ซึ่งมีฤทธิ์ในการระงับเชื้อได้ ในขณะเดียวกันจะช่วยเคลือบฟันได้ด้วย
          กานพูล ส่วนที่นำมาใช้มักจะเป็นดอกซึ่งมีน้ำมัน มีฤทธิ์ในการระงับเชื้ออย่างอ่อน นอกจากนี้ก็มี เกลือ ลิ้นทะเล (กระดองปลาหมึก) ใช้เป็นผงขัดฟัน พิมเสน การบูร ชะเอมเทศ ใช้ในการปรุงแต่งรสชาติ ส่วนสมุนไพรต่างประเทศที่นำมาผสมในยาสีฟัน จะพบว่ามีตัวหลักๆ คือ คาโมไมล์ ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เมอร์เปปเปอร์มิ้นท์ เสจ เอคชินาเซีย แรททาเนีย เป็นสมุนไพรที่นำมาผสมในยาสีฟันเพื่อช่วยในการรักษาโรคเหงือก โสม (Ginseng) เป็นสมุนไพรที่มักใช้เป็นยาบำรุงกำลังก็มีการนำมาผสมในยาสีฟันก๊กเลี้ยง จาเป่า และรัสตี้

ปัญหาจากการใช้ยาสีฟัน 
          ปัญหาจากการใช้ยาสีฟัน โดยปกติแล้วจะพบได้น้อยมาก ที่อาจจะพบได้บ้าง ก็คือ การแพ้ยาสีฟัน เยื่ออ่อนในช่องปากจะเกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง บางรายอาจมีอาการบวม แดงที่ริมฝีปาก สาเหตุเกิดจากการแพ้สารบางตัวในยาสีฟันนั่นเอง เช่น บางคนจะแพ้เมนทอล ซึ่งเป็นสารแต่งกลิ่นและรสยาสีฟัน หรืออาจจะแพ้ฟลูออไรด์ในยาสีฟัน วิธีแก้ไขก็คือ เปลี่ยนไปใช้ยาสีฟันอื่นที่มีสารตัวนั้นน้อยลง
          การใช้ยาสีฟันบางชนิดเพื่อขจัดคราบบุหรี่ และคราบอาหาร ซึ่งจะมีผงขัดมาก ก็อาจจะเกิดปัญหาทำให้ฟันสึกได้ จึงไม่ควรใช้ทุกวัน ยาสีฟันบางชนิดผสมสมุนไพร มีฤทธิ์เป็นยาฝาดสมานทำให้เหงอกดูเหมือนแน่นขึ้น ซึ่งต้องระวังในผู้ที่เป็นโรคปริทันต์ ซึ่งอาจมีหินปูนอยู่ใต้เหงือก ยังไม่ได้ขูดออก อาจมีการติดเชื้อใต้เหงือกเกิดขึ้นได้

หลักการเลือกใช้ยาสีฟัน 
ในการใช้ยาสีฟันควรพิจารณาสิ่งต่อไปนี้คือ
           เป็นยาสีฟันประเภทครีม (Paste) หรือ เจล (Gel) เพราะจะไม่ทำให้ฟันสึกมากเมื่อเทียบกับชนิดผง
           มีฟลูออไรด์ผสมอยู่ด้วยเพราะสามารถช่วยป้องกันฟันผุได้
           มีราคาเหมาะสมเมื่อเทียบกับคุณภาพของยาสีฟัน
           เลือกตามปัญหาของแต่ละคน เช่น ผู้ที่มีอาการเสียวฟันอาจใช้ยาสีฟันที่แก้การเสียวฟันโดยเฉพาะ และเมื่อหมดอาการแล้วก็อาจจะใช้ยาสีฟันชนิดธรรมดาก็ได้
           นอกจากนี้เวลาแปรงฟันควรให้ยาสีฟันสัมผัสกับผิวฟันไม่น้อยกว่า นาที จึงจะเป็นการใช้ยาสีฟันในการป้องกันฟันผุได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า
          บทความนี้เรียบเรียงจากข้อเขียนของทันตแพทย์ภราดร ชัยเจริญ ซึ่งท่านได้ทำการสำรวจข้อมูลเมื่อปีพ.ศ.2542 ปัจจุบันมียาสีฟันใหม่ๆ ออกมาขายอีกมากมาย ฉะนั้นข้อมูลบางอย่างอาจจะเปลี่ยนแปลงไป และไม่ครบถ้วน อย่างไรก็ตามต้องขอขอบคุณท่านในโอกาสนี้ด้วย

ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 26 ฉบับที่ 10 ตุลาคม 2545
http://www.elib-online.com/doctors46/dental_dentrifice001.html

September 25, 2013

“ธวัชชัย แสงธรรมชัย” จาก “รู้ สู้! Flood” สู่บริษัทโฆษณาเพื่อสังคม

หากยังจำกันได้ เมื่อครั้งเกิดวิกฤตภาวะน้ำท่วมปี 2554 ท่ามกลางความสับสนอลหม่านกับข้อมูลการสื่อสารจากภาครัฐ มีบุคคลอยู่กลุ่มหนึ่งที่ผลิตสื่อสร้างสรรค์ชื่อ “รู้ สู้! Flood” ในรูปแบบของวิดีโออนิเมชัน โดยมีวาฬเป็นสัญลักษณ์ เพื่อช่วยให้คนไทยเข้าใจที่มาที่ไปของน้ำท่วม การรับมือและการอยู่ร่วมกับน้ำท่วม รวมไปถึงบทบาทของตัวเองและการฟื้นฟูภายหลังน้ำท่วม จนกลายเป็นที่รู้จักและแพร่หลายอย่างรวดเร็วในโซเชียลเน็ตเวิร์ก
ธวัชชัย แสงธรรมชัย
        ธวัชชัย แสงธรรมชัย” หรือ “อู๋” อดีตครีเอทีฟโฆษณา หนึ่งในกลุ่มบุคคลที่ช่วยกันผลิตสื่อดังกล่าว จนหลายคนจดจำภาพลักษณ์ของการเป็นจิตอาสาที่ออกมาทำงานเพื่อสังคม แม้ปัจจุบัน “ธวัชชัย” จะเปิดบริษัทเอเยนซีโฆษณาและสื่อประชาสัมพันธ์ของตัวเองในนาม “วาย น็อต โซเชียล เอ็นเตอร์ไพรส์” แต่ก็ยังไม่ลืมไว้ลายที่จะดำเนินกิจการในแบบเพื่อประโยชน์ของสังคมด้วย
      
       ที่เป็นเช่นนั้น เพราะการดำเนินกิจการของบริษัทนี้ จะไม่รับลูกค้าที่เป็นบริษัทที่ต้องการทำการตลาดเพื่อขายสินค้าเหมือนสมัยที่เป็นครีเอทีฟอยู่ในบริษัทโฆษณา แต่รับเฉพาะลูกค้าที่เป็นกลุ่มองค์กรที่สร้างสรรค์สังคมและทำงานเพื่อสังคมเท่านั้น เช่น มูลนิธิ เอ็นจีโอ หน่วยงานต่างๆ ที่ทำงานด้านนี้
      
        ตอนที่เป็นครีเอทีฟในบริษัทโฆษณา ความสุขความสำเร็จในการทำงานคือตัวเงิน แต่ถึงวันหนึ่งก็มาถามตัวเองว่าสิ่งนี้เป็นความสุขสำหรับเราจริงหรือเปล่า เพราะสุดท้ายต่อให้เราทำโฆษณาได้เจ๋งสุดยอด ช่วยให้บริษัทขายสินค้าได้มากมาย สิ่งทีที่เราได้ตอบแทนก็คือตัวเงิน แต่มันยังไม่ใช่ความสุขที่สุด ซึ่งผมก็ได้ค้นพบว่า ผมมีความสุขตอนที่ศักยภาพในการทำงานของเราเป็นประโยชน์กับผู้อื่นได้” ธวัชชัย เล่าถึงจุดพลิกผันในการลาออกจากครีเอทีฟบริษัทโฆษณาเพื่อมาทำงานด้านสังคม
      
        แม้จะออกมาทำงานเพื่อสังคม แต่สิ่งที่ “ธวัชชัย”ถนัดก็คืองาน “โฆษณา” จึงเลือกทำโฆษณาที่สร้างสรรค์สังคม จากเดิมปกติที่ต้องทำงานกับลูกค้า จึงหันมาทำงานกับกลุ่มองค์กรเพื่อสังคมแทน ซึ่งครั้งนี้ “ธวัชชัย” ไม่ขอเรียกว่าเป็นลูกค้า แต่ขอเรียกว่าเป็นพาร์ทเนอร์ในการทำงานร่วมกันแทน
      
        ที่เลือกทำโฆษณาให้แก่กลุ่มองค์กรที่ทำประโยชน์เพื่อสังคม เพราะเมื่อพูดถึงงานเพื่อสังคมคนส่วนใหญ่จะรู้สึกว่ามันดูเข้าถึงยาก น่าเบื่อ ดูจน เนื่องจากไม่เคยถูกทำเป็นโฆษณาให้น่าสนใจเหมือนบริษัทที่ขายสินค้าและบริการทั่วไป เพราะมีทรัพยากรจำกัด จึงยังเข้าไม่ถึงมวลชนมากนัก แต่จากการทำงานด้านนี้ทำให้เห็นว่าโฆษณามีพลังที่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ได้ ทำให้คนที่รับชมโฆษณาพร้อมจ่ายเงินซื้อสินค้าในสิ่งที่ไม่จำเป็นกับชีวิตได้ หากสามารถนำงานเพื่อสังคมมาบอกเล่าผ่านสิ่งที่ทรงพลังอย่างโฆษณาได้ เชื่อว่าเรื่องดีๆ ก็จะมีโอกาสเกิดขึ้นในสังคมได้อีกมาก เพราะสิ่งที่เขาทำเพื่อสังคมมันมีผลกระทบในเชิงสื่อสารมากขึ้น
      
        สำหรับขอบข่ายงานที่ “ธวัชชัย” ทำมีทั้งที่คิดโฆษณาออกมาเป็นชิ้นเลย วางแผนการผลิตสื่อ เป็นที่ปรึกษาให้แก่องค์กรเพื่อสังคมต่างๆ ในการที่จะคิดให้เองว่างานนี้ควรที่จะทำสื่อประเภทไหนอย่างไรให้เหมาะสม ซึ่งผลงานที่ผ่านมาก็มีทั้งตลาดนัดจิตอาสาในโครงการคนไทยขอมือหน่อย โครงการสุขภาพคนพิการ และแรงงานนอกระบบ เป็นต้น
      
        อย่างไรก็ตาม แม้ “ธวัชชัย” จะเปิดบริษัทโฆษณาที่ทำงานเพื่อสังคม แต่ไม่อยากให้คนทั่วไปติดภาพลักษณ์ว่า การทำงานเพื่อสังคมเป็นการทำความดีที่ทำแล้วต้องถูกต้องเสมอและดีที่สุดเสมอ
      
       ธวัชชัย ให้เหตุผลว่า ความดีเป็นเรื่องส่วนบุคคลและมีความเป็นนามธรรมมากๆ ส่วนใหญ่เมื่อพูดถึงการทำความดีแล้ว คนจะนึกถึงการช่วยเหลือกัน เป็นงานจิตอาสาที่ว่างเมื่อไรก็ค่อยมาทำ และปัญหาคือมักจะคิดว่าคนที่ทำความดีจะต้องเป็นคนดี ทำอะไรถูกต้องและดีที่สุดเสมอ ซึ่งคิดว่าคนไทยควรที่จะต้องหลุดออกมาจากกรอบนามธรรมของความดี ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าบริษัททำโฆษณาสร้างสรรค์สังคมให้กับองค์กรหนึ่ง หากทำได้ดีก็ต้องบอกว่าดี หากทำออกมาได้ห่วยก็ต้องต่อว่า ก็ต้องบอกว่าห่วย ไม่ใช่ว่าทำโฆษณาเพื่อสังคมแล้วจะต้องดีเพอร์เฟกต์ไปเสียหมด
      
        นอกจากนี้ ธวัชชัย ยังแนะนำว่า การทำความดีไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้มีเวลาว่างเพื่อที่จะออกไปทำงานพวกจิตอาสา หรือทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ขอเพียงทำอาชีพของตัวเองให้เป็นความดีก็ถือว่าได้ทำความดีและได้ช่วยสังคมแล้ว อยากให้ทุกคนมองว่าความดีสามารถทำเป็นอาชีพได้ อย่างคนขายก๋วยเตี๋ยวก้สามารถทำความดีเป็นอาชีพได้ ขอเพียงมีความซื่อสัตย์ต่องานที่ทำ ไม่ใช้หม้อที่มีสารตะกั่ว เลือกวัตถุดิบในการทำที่สด สะอาด และปลอดภัยต่อผู้บริโภค ก็ถือเป็นการทำความดีแบบเป็นอาชีพแล้ว


http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000119562


โดนใจ ที่มีคนคิดแบบนี้อยู่ เราก็อยากทำแนวนี้ 

September 19, 2013

ที่ประชุมเฟดทำเซอร์ไพรส์ไม่ลดระดับQEและคงดอกเบี้ยระดับต่ำ

19.9.56 ที่ประชุมเฟดทำเซอร์ไพรส์ไม่ลดระดับQEและคงดอกเบี้ยระดับต่ำ

       
    
       เอเอฟพี - ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)เมื่อวันพุธ(18) มีมติคงระดับโปรแกรมเข้าซื้อพันธบัตรไว้ที่เดือนละ 85,000 ล้านดอลลาร์ตามเดิม ความเคลื่อนไหวที่สร้างความประหลาดใจแก่นักวิเคราะห์ที่คาดหมายว่าจะลดการกระตุ้นลงเนื่องจากเศรษฐกิจเติบโต แถมในทางกลับกันยังปรับลดประมาณการณ์ขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้าลง อ้างถึงผลกระทบที่ได้รับจากมาตรการลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในขณะที่ประเทศยังตะเกียกตะกายหลุดพ้นจากภาวะถดถอยรุนแรง
    
       นอกจากนี้แล้วที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯ(FOMC) ยังเปิดเผยหลังเสร็จสิ้นการประชุม 2 วันที่เริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อวันอังคาร(17) ว่าทางธนาคารกลางแห่งนี้จะคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำเตี้ยติดพื้น ร้อยละ 0.-0.25 ต่อไป หลังจากอยู่ในระดับนี้มาตั้งแต่ปี 2008 ด้วยอัตราคนว่างงานยังอยู่เหนือร้อยละ 6.5 และตัวเลขเงินเฟ้อยังไม่ถึงขั้นที่น่ากังวล
    
       อย่างไรก็ตามนาย เบน เบอร์นันกี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวว่ายังมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะตัดสินใจลดระดับการกระตุ้นเศรฐกิจในช่วงปลายปี "เราอาจเคลื่อนไหวในช่วงปลายปีนี้ถ้าเศรษฐกิจยังคงเติบโตต่อไป และคณะผู้กำหนดนโยบายของเฟดมีความเชื่อมั่นมากขึ้นต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจ"
    
       คำแถลงของ FOMC ระบุว่าแม้เศรษฐกิจมีท่าทางฟื้นตัวขึ้นท่ามกลางการตัดงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลโดยทั่วถึงทั้งหมดทุกภาคส่วนของรัฐบาล(sequester) แต่ทางคณะกรรมการตัดสินใจรอหลักฐานเพิ่มเติมว่าพัฒนาการของเศรษฐกิจจะยั่งยืน ก่อนปรับระดับการเข้าซื้อพันธบัตร พร้อมชี้เป็นไปได้ว่าด้วยอัตราดอกเบี้ยทีสูงขึ้นนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ได้ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจชะลอตัวแล้วในตอนนี้
เบน เบอร์นันกี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯแถลงกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันพุธ(18) หลังเสร็จสิ้นการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน
       เฟด ได้รับการคาดหมายอย่างกว้างขวางว่าจะเริ่มต้นลดระดับโครงการเข้าซื้อพันธบัตรรายเดือน ซึ่งมีเป้าหมายกดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ลดต่ำลง หลังนายเบอร์นันกี คาดคะเนเมื่อเดือนพฤษภาคมว่าจะมีการลดระดับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีนี้ หากเศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคง ขณะที่เหล่านักวิเคราะห์ยังถกเถียงกันว่ามาตรการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ(QE)นี้ ควรถูกลดลงไปเท่าใดถึงจะเหมาะสม ซึ่งส่วนใหญ่ก็คาดหมายกันไล่ตั้งแต่ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือน ไปจนถึง 25,000 ล้านต่อเดือน
    
       FOMC ยอมรับว่าเศรษฐกิจยังคงขยายตัวในระดับปานกลาง แต่ขณะเดียวกันสภาวะของตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นแก่นกลางของนโยบายเฟดในขณะนี้ ดีขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา กระนั้นก็ตามพวกเขาเน้นว่าอัตราคนว่างงานระดับร้อยละ 7.3 ในเดือนสิงหาคม ยังถือว่าสูงอยู่
    
       ที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังได้ปรับลดประมาณการณ์การเติบโตทางเศรษกิจของอเมริกาในปี 2013 ลง 0.3 จุด อยู่ที่ราวร้อยละ 2.0-2.3 พร้อมกับปรับลดประมาณการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้าลงสู่ร้อยละ 2.9 ถึง 3.1 ในปี 2014
    
       อย่างไรก็ตามทาง FOMC มีมุมมองต่อตลาดงานในอนาคตที่ดีขึ้น ด้วยประมาณการณ์ว่าอัตราคนว่างงานจะลดลงสู่ระดับร้อยละ 6.4 ถึง 6.8 ในช่วงปลายปี 2014 ขณะที่คาดหมายว่าอัตราคนว่างงานในปี 2013 จะอยู่ราวๆร้อยละ 7.1 ถึง 7.3

ขอขอบคุณ http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000118102