Pages

Long Live The king

Long Live The king

March 23, 2015

ถ้าเรามีหนังสือธรรมะ หรือรูปพระ แล้วเราอยากจะทิ้งเสีย จะทำอย่างไรไม่ให้บาป?

ถ้าเรามีหนังสือธรรมะ หรือรูปพระ แล้วเราอยากจะทิ้งเสีย จะทำอย่างไรไม่ให้บาป?

ดังตฤณ: อันนี้ผมก็เคยได้รับคำแนะนำมานะครับว่า ให้มองว่าการที่เราจะรู้สึกว่าเป็นหนังสือธรรมะ หรือว่าเป็นรูปภาพที่เป็นมงคล เราไปทำลายแล้วจะบาปอะไรต่างๆเนี่ย มันเป็นเพราะว่าจิตไปยึดว่านั่นเป็นของสูง นั่นเป็นสิ่งที่มีความหมายในทางกุศล เอาไปทำลายก็เท่ากับทำลายกุศล ซึ่งสิ่งตรงกันข้ามกับกุศลก็คืออกุศลนั่นเอง สิ่งตรงกันข้ามกับบุญก็คือบาปนั่นเองนะฮะ
วิธีนึงที่จะทำให้สบายใจถ้าหากจำเป็นที่จะต้องทิ้ง หรือว่าทำลายหนังสือ ซีดี หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ที่มีรูปมลคลอยู่ ก็คือทำให้รูปมงคลนั้นหายไปนะครับ มันมีคำแนะนำไปต่างๆนาๆ ซึ่งในช่วงแรกๆอาจจะไม่สบายใจหรอกที่จะทำแบบนั้น อาจจะต้องใช้เครื่องตัดกระดาษที่มันมีเครื่องทำลายเอกสารอะไรแบบนี้ ขอให้เราคิดว่าเราไม่ได้ทำลายธรรมะ แต่ให้คิดว่าเราทำให้รูปนิมิตหรือว่าสิ่งที่ใจไปยึดว่าเป็นมงคล เป็นมหากุศลเนี่ยนะฮะ แปรรูปไป เหลือแต่กระดาษเปล่าๆ เหลือแต่ความเป็นธาตุดิน ที่ดั้งเดิมเนี่ยกระดาษไม่มีความเป็นมงคลหรือว่าเป็นอัปมงคลอะไรทั้งสิ้นแหละ มันเป็นกลางๆมันเป็นธาตุที่แข็ง มันเป็นสิ่งที่เราจับต้องได้ แล้วรู้ว่านั่นแหละ มันเป็นกระดาษเท่านั้นเอง แต่ถ้าหากว่าเมื่อไหร่มีรูปนิมิตไปปรากฏอยู่ในกระดาษแล้วก็ยึดว่านั่นเป็นของสูง จิตที่ยึดว่านั่นเป็นของสูงแล้วเคารพสักการะนั่นดีเป็นกุศล เกิดกุศลจิตขึ้นมา เกิดความสว่างขึ้นมา แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราจำเป็นที่จะต้องทำให้หายไป เราไม่สามารถที่จะเก็บไว้ ไม่มีที่เก็บหรืออะไรก็แล้วแต่ จะมีเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ บางคนแหละ คืออันนี้ก็เข้าใจนะฮะ พอรู้สึกว่าหนังสือที่มีอยู่เป็นสัจธรรมปฏิรูป เป็นของปลอม เป็นของไม่จริง เป็นของไม่ดี เป็นสิ่งที่จะพาลงเหวนะฮะ แล้วก็เราไม่อยากจะไปบริจาคต่อกับใคร แต่ว่าบังเอิญที่ปกหรือว่าข้างในหนังสือเนี่ยมีรูปพระสวยๆหรือว่ามีบุคคลที่น่าเคารพศรัทธาแปะอยู่ ก็จะเกิดความกระอักกระอ่วนใจ เก็บไว้ก็ไม่ได้ ทำลายก็ไม่รู้สึกสบายใจ เกิดความรู้สึกกังวลขึ้นมา ทางที่ดีที่สุดก็อาจจะใช้เครื่องทำลายเอกสารนะครับ เพราะว่าเครื่องทำลายเอกสารนี่มันมีหน้าที่ของมันชัดเจน เราหย่อนลงไปเนี่ยมันก็กลายเป็นกระดาษ คืนสภาพสู่ความเป็นธาตุดินนะฮะ นิมิตหายไป เราก็ไม่ต้องกังวลว่าเราทำบาปอะไรรึเปล่านะครับ แต่ถ้าหากว่าไม่มีเครื่องทำลายเอกสาร ก็อาจจะใช้ ที่มีคนแนะนำไว้นะฮะ ก็อาจจะใช้กรรไกรตัดเป็นชิ้นๆ อย่าฉีก อย่าฉีกเอง เพราะฉีกเองบางทีต้องใช้กำลังใจในการทำลาย เหมือนลักษณะที่เราจะฉีกจดหมายคนรัก หรือว่าจะทำลายด้วยอาการที่มันมีโทสะอะไรแบบนั้น จะไปพ้องกันจะไปแมทซ์กันกับอาการที่มันไม่ดี แล้วจะทำให้เกิดความกังวลไป ทางที่ดีคือใช้กรรไกรตัดอย่างประณีตนะฮะ แล้วก็มีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา มีความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาว่านี่เราไม่ได้กำลังทำลายธรรมะ แต่ว่าเรากำลังทำให้กระดาษมันหมดสภาพความเป็นสิ่งวัตถุมงคล หรือว่าที่ประทับของนิมิตมงคลนะครับ ให้ตั้งจิตไว้อย่างนั้นแล้วทำลายทิ้งก็จะไม่มีอะไร ไม่ได้มีอะไรเป็นบาปเป็นอกุศลนะครับ บางคนให้ใช้ไฟ ซึ่งก็แล้วแต่นะ คือถ้าอาการของใจเรา มีลักษณะที่เราไปทำลายทิ้งโดยไม่เกิดความรู้สึกว่ามันเข้ากันกับการใช้โทสะเนี่ยก็โอเคหมด จะใช้ไฟหรือว่าจะใช้กรรไกรตัดก็แล้วแต่นะครับ ขออย่างเดียวอย่ามีความกังวลหรือว่าอย่ามีจิตที่หม่นหมองไปด้วยก็แล้วกันนะครับ เพราะไอ้ความกังวลหรือความรู้สึกหม่นหมองเนี่ยมันทำให้ ตัวนี้แหละที่จะดึงที่จะลากเอาความเป็นอกุศลเข้ามานะครับ

File: ดังตฤณวิสัชนา On Air ตอนที่ ๑๗
นาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๕๕

March 20, 2015

เธียรรุจ ธรณวิกรัย”อัจฉริยะไอทีสู่ผู้ประกอบการหน้าใหม่

เธียรรุจ ธรณวิกรัย”อัจฉริยะไอทีสู่ผู้ประกอบการหน้าใหม่

โดย : 
- See more at: http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/510723#sthash.7sPAm8qI.dpuf


Beam Toranavikrai

เขาคืออัจฉริยะไอทีที่ทำเงินได้ตั้งแต่เรียนมัธยมสั่งสมความรู้ด้านอสังหาฯจนมาเป็นเจ้าของเว็บไซต์Think of living ที่ทำรายได้อย่างงดงามในวันนี้ - See more at: http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/510723#sthash.7sPAm8qI.dpuf


ไม่ใช่ครั้งแรกที่กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ได้นั่งพูดคุยกับ “บีม-เธียรรุจ ธรณวิกรัย”
ราว 6 ปี ก่อนหน้านี้ เขาคือหนึ่งในนักเขียนออนไลน์ฝีมือขั้นเทพ เจ้าของนามปากกา “มือเดียวค้ำฟ้า” เบื้องหลังนวนิยายแฟนตาซีผสมกำลังภายใน จากเว็บไซต์เด็กดี “ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน” (The Legend of El) ที่ฮอตฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง จนได้รับการตีพิมพ์และติดอันดับหนังสือขายดีไปตามคาด โดยมีซี่รีย์ออกมามากถึง 11 เล่ม
การพบกันครั้งที่สอง คนหนุ่มในวัย 30 ปี กลายเป็นผู้ประกอบการเต็มตัว เขาคือ ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซด์ Think of living บริษัท คิดเรื่องอยู่ จำกัด โดยเขาเริ่มฝันเล็กๆ นี้มาได้ประมาณสองปีแล้ว
“ผมเปิดเว็บไซต์มาตั้งแต่เดือนมกราคม 2554 และจดทะเบียนบริษัทเมื่อตอนต้นปี 2555” เธียรรุจ อัพเดทสถานะเขาไม่ได้ทำให้ใครแปลกใจนักที่ยังคงจับธุรกิจไอที เพราะคลุกคลีอยู่กับอินเตอร์เน็ตและรู้จักทำเงินกับมันมาตั้งแต่ยังเรียนมัธยมด้วยซ้ำ
ยุคดอทคอมกำลังบูม เธียรรุจก็เหมือนเด็กในยุคนั้น ที่สนุกกับการได้ลองทำเว็บไซต์ ด้วยความสนใจและความชอบ ผลงานของเธียรรุจคือเว็บไซต์ข่าวที่ชื่อ “โอ้โฮเว็บ” (OHOWEB) ซึ่งเกิดมาพร้อมๆ กับ เด็กดีดอทคอม เพื่อนรุ่นเดียวกับเขา
ยุคดอทคอมกำลังหอมหวาน เริ่มมีการซื้อขายเว็บไซต์กันเกิดขึ้น และโอ้โฮเว็บ ก็ไปเข้าตากลุ่มชินคอร์ป จนถูกซื้อไปในที่สุด แม้ไม่ใช่เม็ดเงินมากมาย แต่ที่ได้มาเต็มๆ ก็คือความภาคภูมิใจของเด็กหนุ่มในตอนนั้น
หลังจบมัธยมปลายที่ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก็เข้าศึกษาต่อในคณะ วิศวกรรมศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งระหว่างนั้นเขาได้ทำโปรเจค อย่าง แอพลิเคชั่น และซอฟแวร์ในมือถือ ในยุคที่สมาร์ทโฟนยังไม่มีใครพูดถึงด้วยซ้ำ และมีโอกาสพัฒนาเกมออนไลน์รวมกับเพื่อนๆ จนถูกวาล์ว (Valve) บริษัทพัฒนาเกมของโลกซื้อไลเซ่นไป
“ผมอาศัยหาความรู้เอง ซึ่งข้อมูลพวกนี้อยู่ในอินเตอร์เน็ตเต็มไปหมด ก็แค่ทำขึ้นมาด้วยความสนใจ การหาเงินได้ไม่ใช่ประเด็นในตอนนั้น แต่สิ่งสำคัญคือ เราได้สร้างนวัตกรรมขึ้นมา” เขาบอกเล่าถึงความท้าทาย
หลังเรียนจบปริญญาโท MBA ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เธียรรุจ มีโอกาสช่วยงาน "ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์" เจ้าพ่อพฤกษาเรียลเอสเตท อยู่ประมาณ 2 ปี เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจึงไม่เพียงความรู้ด้านไอที เติมเต็มความพร้อมเป็นผู้ประกอบการของเขา
“ผมมีพื้นฐานทางด้านไอที เคยเขียนหนังสือและเขียนบทวิเคราะห์ที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์มาก่อน เข้าใจการตลาดและมีพื้นฐานด้านอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่หุ้นส่วน คุณสุเชฏฐ์ ฤทธีภมร ก็มาจากงานด้านการตลาด และเป็นนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ส่วน วิทยา อภิรักษ์วิริยะ เพื่อนสมัยเรียนก็เป็นนักเทคโนโลยี เลยรวมจุดแข็งของแต่ละคนมาเริ่มต้นธุรกิจ”
กลายเป็นที่มาของสื่ออสังหาริมทรัพย์น้องใหม่ “Think of living” ซึ่งใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียงหลักหมื่นบาท เพราะต้นทุนสำคัญก็คือพลังสมองของพวกเขา เมื่อประสบการณ์ มาเจอกับทักษะที่ทุกคนมี ทำให้เว็บไซต์คิดเรื่องอยู่ได้เนื้อหาที่ ชัดเจน และ ตอบโจทย์ทุกกลุ่ม ได้อย่างแท้จริง
“เราเชื่อว่าผู้บริโภคที่จะซื้อบ้านไม่มีความรู้ หรือรู้น้อยมากเมื่อเทียบกับคนที่อยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพท์ ซึ่งข้อมูลหลายๆ อย่าง ค่อนข้างปิด ขณะที่คนยุคใหม่มีเวลาลดลง วันๆ ก็ทำแต่งาน แต่ก็ยังต้องการที่อยู่อาศัย หน้าที่ของเราคือ ลงพื้นที่เพื่อไปสำรวจ และให้ข้อมูลลงลึกทุกเรื่อง เขียนบทวิเคราะห์เป็นร้อยหน้า พร้อมรูปอีกกว่า 100 รูป ในแต่ละโครงการ”
รายละเอียดแน่นปึกชนิดที่ว่าไม่ต่างจากวอคอินเข้าไปดูโครงการด้วยตัวเอง ด้วยข้อเท็จจริงทั้งบวกและลบ
การใส่ใจทุกรายละเอียด และพยายามรักษาความน่าเชื่อถือของเนื้อหา ด้วยจุดยืนอย่างที่ไม่ให้ใครมาโพสต์ขายของในเว็บ ไม่มีการค้า เก็งกำไร ไม่ทำกิจกรรมกับค่ายใดค่ายหนึ่ง เพื่อให้ข้อมูลที่ไหลอยู่ในเว็บไซต์ เป็นข้อมูลที่ดี เชื่อถือได้เน้นขายบทวิเคราะห์ ที่ให้ความรู้ไปใช้งานได้จริง รวมถึงมีการเปิดเว็บบอร์ดเพื่อให้สมาชิกได้สนทนาแลกเปลี่ยน เป็นสังคมแห่งการแบ่งปันความรู้เรื่องบ้านและคอนโดมิเนียมอย่างแท้จริง
ทำให้กลุ่มเป้าหมายขยับไปไกล ทั้งลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัย เจ้าของโครงการ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตัวแทนขายโครงการ ตลอดจนกลุ่มนักลงทุน สามารถเข้ามาศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจได้อย่างเต็มที่
ปัจจุบันมีผู้เข้าชมเดือนละ 5 แสนราย มีสมาชิกอยู่ประมาณ 1.5 แสนคน ในเวลาเพียง 2 ปี!
สมัยเด็กอาจทำงานเพื่อท้าทายตัวเอง แต่เมื่อต้องมาทำธุรกิจจริงๆ จังๆ ก็ต้องหาความชัดเจนเรื่อง “รายได้” เธียรรุจ อธิบายโมเดลสร้างเงิน แบบ Think of living ที่มาจากการขายพื้นที่โฆษณาบนเว็บไซต์ ราคาตั้งแต่หลักหมื่นไปจนหลักแสนบาท ขึ้นกับตำแหน่ง นอกจากนั้น ยังมีรายการทีวีออนไลน์ “คิดเพื่ออยู่” พาไปชมแต่ละโครงการ ซึ่งเจ้าของโครงการจะต้องจ่ายค่าการผลิตโดยคิดค่าใช้จ่ายเป็นตอน ตอนละกว่าแสนบาท แลกกับพื้นที่ในเว็บไซต์สำหรับถ่ายทอดรายการ
“รายการเรามีคนดูอยู่ที่ 1 หมื่นรายต่อตอน ซึ่งโดยปกติแล้ว โครงการใหม่ๆ ในแต่ละสัปดาห์จะมีคนวอคอินไปดูแค่ 50 ราย ทั้งปีก็แค่ 2,500 ราย แต่การทำวิดีโอหนึ่งครั้งมีผู้ชมเป็นหมื่นรายแล้ว ซึ่งเขาอาจต้องใช้เวลาถึง 4 ปีกว่าจะได้เท่านี้”
อีกช่องทางสร้างเงิน คือ หนังสือ แต่เธียรรุจยอมรับว่าไม่ได้หวังรายได้จากช่องทางนี้ ทว่ามองเป็นช่องทางที่จะให้ความรู้กับผู้คน รวมถึงเปิดโอกาสให้เรื่องราวเหล่านี้ เข้าถึงคนส่วนใหญ่มากขึ้น ไม่ใช่แค่คนที่ใช้อินเตอร์เน็ตเท่านั้น
โมเดลสร้างรายได้ตอบแทนพวกเขาด้วยอะไรบ้าง เขาบอกว่า รายได้ปีแรกอยู่ที่ประมาณ 4 แสนบาท เพราะดันทำออกมาในช่วงน้ำท่วมพอดี ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เรียกว่ายกเลิกโฆษณากันถ้วนหน้า แต่เมื่อทุกอย่างฟื้นคืนมา โอกาสธุรกิจก็กลับคืน ซึ่งเขาคาดว่าถึงสิ้นปีนี้ น่าจะมีรายได้แตะที่ 20 ล้านบาท!
“เวลา 2 ปี กับรายได้ 20 ล้านบาท ผมว่าก็ไม่ได้เยอะนะ เพราะเว็บไซต์ดังๆ เขาทำได้เยอะกว่านี้มาก ถ้าเป็นในอเมริกา อาจไปถึง 2,000 ล้านบาทได้ไม่ยาก เพราะตลาดบ้านเขาใหญ่กว่าเรามาก”
เปิดเว็บไซต์แรกตอนอายุ 15 ปี แม้เว็บไซต์ที่สองจะเปิดมาได้ไม่นาน แต่เขาก็ยอมรับว่ามีเว็บไซต์อสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในต่างประเทศมาจีบๆ อยู่บ้าง ทว่ายังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม
“ผมไม่เสียดายนะ ถ้าธุรกิจที่สร้างขึ้นจะตกไปเป็นของคนอื่น มองว่าถึงจุดนั้น ผมคงมีอะไรอย่างอื่นทำแล้ว เพราะถ้ายังไม่มี ก็คงไม่ปล่อย ทำธุรกิจตอนมัธยมกับตอนนี้ ไม่เหมือนกัน เด็กๆ ทำเพราะอยากรู้ แต่พอโตขึ้นผมก็รู้ว่าการที่จะทำอะไรขึ้นมาสักอย่าง ต้องรู้จักเติมเต็มความต้องการของสังคมด้วย นั่นคือต้องให้เกิดประโยชน์ พอมีประโยชน์เดี๋ยวเงินก็มาเอง” เขาสะท้อนความคิดที่โตขึ้นตามวัย
หลายอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต เธียรรุจ บอกวิธีคิดในการทำงานของเขา สั้นๆ แค่ “ทำให้เสร็จ”และ “อย่าคิดนาน”
“หลายๆ อย่างเราทำไปเพราะว่ายังเป็นพื้นที่ที่ยังไม่รู้ พอไม่รู้ ก็อยากรู้ในสิ่งที่ทำ อย่างธุรกิจจะเป็นอย่างไร จะไปค้นพบอะไรตอนไหน อยากรู้ ก็แค่ทำไป ทำให้มันเสร็จ ขอแค่ให้เริ่มทำ อย่าเพิ่งคิดนาน ความคิดไม่มีประโยชน์ ถ้าได้ทำถึงจะมีประโยชน์ แค่คิดไม่มีค่า ได้ทำถึงมีค่า ทำไปก่อน มีปัญหาค่อยแก้ไข ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นแค่โปรเจกในฝัน ไม่มีทางเป็นจริงได้”
ก็แค่เดินหน้าไป ลงมือทำให้เสร็จ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ จะมาเยือนเข้าสักวัน
‘”””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
Key to success
สู่เส้นทางความสำเร็จ “เธียรรุจ ธรณวิกรัย”
๐ เริ่มด้วยความสนใจและความชอบ
๐ ท้าทายตัวเองด้วยสิ่งใหม่ๆ
๐ อย่าแค่คิด แต่ต้องลงมือทำให้สำเร็จ
๐ ใช้จุดแข็งมาตั้งต้นธุรกิจ
๐ ทำธุรกิจต้องเป็นประโยชน์ต่อสังคม แล้วเงินจะมาเอง

- See more at: http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/510723#sthash.7sPAm8qI.dpuf


Tags : บีม-เธียรรุจ ธรณวิกรัย,Think of living,บริษัท คิดเรื่องอยู่ จำกัด - See more at: http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/510723#sthash.7sPAm8qI.dpuf






March 14, 2015

13 มูลเหตุทำให้ “เรือแป๊ะ” ล่ม แม้วเชื่อ “บิ๊กตู่” เอาไม่อยู่!

13 มูลเหตุทำให้ “เรือแป๊ะ” ล่ม แม้วเชื่อ “บิ๊กตู่” เอาไม่อยู่!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
11 มีนาคม 2558 19:06 น.
        นักเศรษฐศาสตร์ยอมรับเศรษฐกิจไทยไร้ทางฟื้น ภายในกำลังซื้อหาย ภายนอกคนซื้อยังไม่ฟื้น แถมแนวทางแก้ปัญหายังบั่นทอนกำลังใจ ด้วยข้อเสนอขึ้นภาษีในรูปแบบต่างๆ จากกระทรวงการคลัง ขณะที่แนวทางการปฏิรูปทั้งพลังงานและศาสนาลดจำนวนคนที่เคยรัก “ประยุทธ์” ลงไปมาก แถมรัฐธรรมนูญใหม่ ทำเอาเพื่อไทย-ประชาธิปัตย์เห็นตรงกัน “ประชาธิปไตยถดถอย” ชี้ทักษิณไม่ต้องพูดถึง “เรือแป๊ะ” คนรักรัฐบาลนี้ก็ลดลงตามลำดับ
13 มูลเหตุทำให้ “เรือแป๊ะ” ล่ม แม้วเชื่อ “บิ๊กตู่” เอาไม่อยู่!
       
        “วันนี้ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว เหมือนคำโบราณที่ว่า ลงเรือแป๊ะ ต้องตามใจแป๊ะ ไม่เช่นนั้นจะถูกแป๊ะไล่ลงจากเรือ ก็เลยต้องตามใจแป๊ะ คือเข้าใจในสิ่งที่เขาอยากให้เข้าใจ” คำพูดของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระหว่างบรรยายพิเศษเรื่อง “บทบาทของ สนช. กับการพัฒนาประเทศไปสู่ความยั่งยืน” เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2557
      
       คำว่า “ลงเรือแป๊ะ ต้องตามใจแป๊ะ” จึงกลายเป็นคำที่หมายถึงรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ตัดสินใจเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 เพื่อยุติการเผชิญหน้ากันของกลุ่มคนที่สนับสนุนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกับกลุ่มที่ต่อต้าน
      
       จนกระทั่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตผู้บัญชาการทหารบก มีการจัดตั้งรัฐบาลและรับหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรี สถานการณ์ทางการเมืองยังคงนิ่ง ปราศจากการต่อต้านจากฝ่ายของพรรคเพื่อไทยและผู้สนับสนุน แม้กระทั่งนายใหญ่ผู้ที่กุมเส้นทางการเดินเกมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยอย่างพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร พี่ชายของนางสาวยิ่งลักษณ์ ที่คนไทยส่วนใหญ่ต่างรู้กันว่าเขาคือนายกรัฐมนตรีตัวจริงในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ต่างนิ่งเงียบหลังจากที่มีการยึดอำนาจ
      
       เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2558 หลังจากที่มีการเผยแพร่ภาพของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่ไปพบกับพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกง มีข่าวออกมาว่า ทักษิณได้กำชับให้เครือข่ายนักการเมืองและคนใกล้ชิดอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้คณะรักษาความสงบหรือรัฐบาลชุดปัจจุบันบริหารงานไป โดยเชื่อว่าวิกฤตเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ก็ทำให้รัฐบาลชุดนี้กำลังแย่ และมีเรื่องของการปฏิรูป การแก้ไขรัฐธรรมนูญอีก เชื่อว่าจะเกิดกระแสต่อต้านมากกว่ายอมรับ
      
       นับเป็นการออกมาคาดการณ์ถึงสถานะของรัฐบาลชุดปัจจุบันว่าจะได้รับความนิยมลดน้อยลงทุกขณะ ไม่ต้องทำอะไร สุดท้ายเรือแป๊ะลำนี้จะล่มไปเอง
      
       ทักษิณพูดไม่ผิด
      
       “สิ่งที่อดีตนายกฯ ทักษิณพูดไว้ ก็ไม่ได้ผิด เพราะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในเวลานี้ไม่ดีจริงๆ” นักเศรษฐศาสตร์ทั้ง 2 แห่งประเมินตรงกัน พร้อมทั้งขยายความว่า
      
       ทั้งหมดเป็นผลต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา จากที่เกิดวิกฤตทางการเมืองมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2556 ทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2557 โตเพียง 0.7% ในปีนี้แม้สถานการณ์ทางการเมืองจะคลี่คลาย แต่ปัจจัยแวดล้อมด้านอื่นๆ ยังไม่ดีขึ้น
      
       ปัจจัยในประเทศ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำจากภาวะตลาดโลก เกษตรกรมีรายได้ลดลง อีกทั้งราคาสินค้าและบริการยังอยู่ในระดับสูง จากการปรับขึ้นไปก่อนหน้าทั้งจากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทและนโยบายจำนำข้าวในราคาที่สูงกว่าตลาดของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ และไม่ได้ปรับลดลงมาแม้ราคาน้ำมันทั้งตลาดโลกและในประเทศจะปรับตัวลงมาแล้วก็ตาม
      
       ปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนที่ยังคงเพิ่มขึ้นทั้งจากโครงการรถยนต์คันแรกและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้แต่ละครัวเรือนมีหนี้เพิ่มขึ้น ฉุดให้กำลังซื้อของคนในประเทศลดต่ำลง อีกทั้งการลงทุนจากภาคเอกชนส่วนใหญ่ยังรอความชัดเจนจากรัฐบาลปัจจุบันว่าจะมีมาตรการใดออกมากระตุ้น แต่ส่วนใหญ่ยังรอที่จะตัดสินใจในช่วงที่สถานการณ์ทางการเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ
      
       ส่วนปัจจัยต่างประเทศยังเป็นเรื่องเดิมคือคู่ค้าของไทย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ยุโรป จีนและญี่ปุ่น เศรษฐกิจของแต่ละชาติยังคงไม่ฟื้นตัว ทำให้คำสั่งซื้อสินค้าจากไทยลดลง เห็นได้จากยอดส่งออกเดือนมกราคม 2558 ติดลบ 3.46%
13 มูลเหตุทำให้ “เรือแป๊ะ” ล่ม แม้วเชื่อ “บิ๊กตู่” เอาไม่อยู่!
       
        เศรษฐกิจฝืดทุกชนชั้น
      
       นักเศรษฐศาสตร์อีกรายกล่าวว่า ตอนนี้คนบ่นกันมากเรื่องภาวะเศรษฐกิจ ทั้งผู้ประกอบการที่เคยให้การสนับสนุนการเข้ามายุติปัญหาทางการเมืองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เนื่องจากยอดขายสินค้าและบริการที่ไม่กระเตื้องขึ้น กลุ่มรากหญ้าเจอกับปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ส่วนคนชั้นกลางที่กำลังซื้อขายไปในระดับหนึ่งจากเรื่องค่าครองชีพและการใช้สิทธิ์รถคันแรก กำลังเผชิญกับเรื่องของภาษีที่รัฐบาลนี้ผุดไอเดียเก็บภาษีเป็นว่าเล่น จะเห็นได้ว่าทุกกลุ่มต่างเผชิญกับปัญหาด้านเศรษฐกิจกันทุกชนชั้น
      
       กำลังซื้อที่หายไปจากหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ยิ่งมาเจอกับแผนในการหารายได้ของรัฐบาลด้วยการจัดเก็บภาษีเพิ่ม ยิ่งทำให้ความรู้สึกของผู้คนแย่ลงตามไปอีก
      
       ในมิติด้านการบริหารการคลัง รายได้ของประเทศหายไปจากภาคการส่งออก เข้าใจได้ว่ารัฐบาลต้องพยายามหารายได้จากส่วนอื่นเข้ามาชดเชย ตอนนี้กระทรวงการคลัง ท่านรัฐมนตรีมาจากข้าราชการประจำ แนวคิดจึงมุ่งไปในทางที่ง่ายที่สุดคือการเรียกเก็บภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับรัฐ โดยเฉพาะภาษีบ้าน ทำให้หลายคนกังวล แต่วิธีการขึ้นภาษีเพียงอย่างเดียวยิ่งจะเป็นผลร้ายต่อกำลังซื้อของคนในประเทศ
      
       ภายใต้สถานการณ์ในขณะนี้ใครเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ต้องเจอปัญหาด้านเศรษฐกิจทั้งสิ้น การกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้ให้กับรัฐไม่ได้มีเพียงแค่การขึ้นภาษีเพียงอย่างเดียว การลดภาระให้กับประชาชนและกระตุ้นให้เกิดการบริโภคภายในประเทศมาทดแทนภาคการส่งออกที่ทรุดตัวลงก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่รัฐพึงกระทำ
      
       เปรียบเทียบกับการยึดอำนาจในปี 2549 จากรัฐบาลของทักษิณ ชินวัตร โดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ในขณะนั้นเศรษฐกิจโลกยังดีกว่าในปัจจุบัน และพลเอกสนธิเข้ามายึดอำนาจไม่นานก็เปิดให้พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เข้ามาบริหารประเทศ แม้จะทำอะไรไม่ได้มากนัก แต่เศรษฐกิจโลกไม่ได้ย่ำแย่ อีกทั้งสหรัฐฯ ยังออกมาตรการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบทำให้สินค้าออกของไทยยังไม่อยู่ในสถานการณ์เลวร้าย
      
       เมื่อทุกอย่างเริ่มกระทบเงินในกระเป๋า กระทบปากท้องและการดำรงชีพของผู้คนให้ลำบากมากขึ้น ย่อมเป็นธรรมดาที่คนที่เคยเชียร์หรือสนับสนุน จะเชียร์น้อยลง
13 มูลเหตุทำให้ “เรือแป๊ะ” ล่ม แม้วเชื่อ “บิ๊กตู่” เอาไม่อยู่!
นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง เดินหน้าผลักดันภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
       
        ปฏิรูปเหลว-แก้รัฐธรรมนูญถูกต้าน
      
       ขณะเดียวกันมิติด้านการแก้ปัญหาทางการเมืองด้วยการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อต้องการสร้างกติกาใหม่สำหรับการเมืองในรุ่นต่อไป แนวทางในการลดอำนาจของตัวนายกรัฐมนตรีและการเลือกตั้งที่คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญกำลังดำเนินการในเวลานี้ เริ่มมีเสียงคัดค้านจากนักการเมืองที่จะต้องเดินตามกติกาใหม่มากขึ้นทุกขณะ
      
       เห็นได้จากพรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์วิพากษ์รัฐธรรมนูญ 2558 แสดงความไม่เห็นด้วยในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องของการเลือกตั้งในรูปแบบใหม่ ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยตั้งข้อสังเกตดังนี้
      
       1.รัฐธรรมนูญที่กำลังจัดทำขึ้น สะท้อนความไม่น่าเชื่อถือ ไม่ไว้วางใจ ไม่เคารพประชาชนและยึดอำนาจอธิปไตยไปจากประชาชน
      
       เนื่องจากสมาชิกวุฒิสภาจะมาจากการแต่งตั้งทั้งหมด วาระ 6 ปี มีอำนาจทั้งเสนอกฎหมาย ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ สรรหาองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ถอดถอน ส.ส. ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน ถอดถอนนายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา รวมทั้งให้ความเห็นชอบผู้จะเป็นรัฐมนตรี
      
       ร่างรัฐธรรมนูญนี้เปิดทางให้ “ผู้ที่ไม่ได้มาจากประชาชน ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” ดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ได้ ย้อนยุคไปสู่ระบบก่อนพฤษภาทมิฬ 2535 ทำให้เสียงของประชาชนไม่มีความหมาย
      
       เท่ากับทำลายเจตนารมณ์พื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ถือเป็นการยึดอำนาจอธิปไตยทั้งหมดของประชาชน ทำลายกลไกการตรวจสอบรัฐบาล ซึ่งเป็นกลไกที่สำคัญของ ส.ส.ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
      
       2.รัฐธรรมนูญที่กำลังจัดทำขึ้น ทำให้ได้รัฐบาลที่ไม่มีเสถียรภาพ นายกรัฐมนตรีไม่มีภาวะความเป็นผู้นำ รัฐบาลไม่สามารถตอบสนองความต้องการและแก้ปัญหาของประชาชน
      
       นอกจากนี้ยังเปลี่ยนระบบเลือกตั้งเป็นแบบสัดส่วนผสม ระบบเลือกตั้งแบบนี้จะทำให้ได้รัฐบาลผสมหลายพรรค มีพรรคเล็ก พรรคน้อย ผสมกับกลุ่มที่ไม่ใช่พรรค เกิดรัฐบาลที่ไม่มีเสถียรภาพ และการลดจำนวน ส.ส.เขตเหลือเพียง 250 คน (จากเดิม 400 คนในปี 2540 และ 375 คนในปี 2550) จะส่งผลให้เขตเลือกตั้งมีขนาดใหญ่และกว้างมากเกินไป ทำให้ผู้แทน 1 คนต้องดูแลประชาชนถึง 260,000 คน
      
       ในส่วนของข้อกำหนดให้ ส.ส. ไม่ต้องปฏิบัติตามมติพรรค/หาก ส.ส.สามารถลงมติไม่เห็นด้วยกับนโยบายที่พรรครัฐบาลนำเสนอต่อประชาชนในช่วงการเลือกตั้ง การนำนโยบายนั้นไปทำให้เกิดผลก็เป็นไปไม่ได้
      
       รวมไปถึงการลดอำนาจของรัฐบาลด้วยการมีคณะกรรมการดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนโดยระบบคุณธรรม ซึ่งรัฐบาลไม่ได้แต่งตั้งมาดำเนินการ ทำให้รัฐบาลไม่มีอำนาจในการบริหารงานบุคคล
      
       3.รัฐธรรมนูญที่กำลังจัดทำขึ้น เป็นร่างที่มีปัญหา จากผู้ร่างที่ไม่ได้มาจากประชาชน
      
       ขณะเดียวกันยังกำหนดขั้นตอนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ยากขึ้น ประกอบด้วยการกำหนดให้คะแนนเสียงเห็นชอบให้แก้ไขรัฐธรรมนูญต้องไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา จากเดิมที่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญใช้เสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งสองสภาเท่านั้น
      
       ขั้นตอนศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสูงและเบ็ดเสร็จ เพราะเมื่อผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาก่อนว่าจะแก้ไขเพิ่มเติมได้หรือไม่ ทางพรรคเพื่อไทยมองว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจเหนือรัฐสภา
      
       ประการสุดท้าย การลงประชามติเมื่อผ่านการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะต้องให้ประชาชนออกเสียงลงประชามติ ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ อีกชั้นหนึ่ง
      
       นอกจากนี้ การเสนอให้ตั้ง “สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศและคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปแห่งชาติ” ซึ่งล้วนมีที่มาจาก สนช. สปช. เป็นประเด็นในร่างฯ ที่มีนัยสำคัญของการสืบทอดอำนาจ เพื่อมากำกับควบคุมรัฐบาลในอนาคตเช่นนี้แล้ว สิ่งที่ดำเนินอยู่ น่าจะไม่ใช่หนทางนำไปสู่การแก้ไขปัญหาของประเทศอย่างที่ทุกคนคาดหวัง
13 มูลเหตุทำให้ “เรือแป๊ะ” ล่ม แม้วเชื่อ “บิ๊กตู่” เอาไม่อยู่!
พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์วิพากษ์ร่างรัฐธรรมนูญ 2558
       
        ประชาธิปัตย์มองไม่ต่างเพื่อไทย
       
       ไม่แตกต่างจากนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ ที่มองว่าการร่างรัฐธรรมนูญในขณะนี้ ถือว่าเป็นการทำให้ประชาธิปไตยถอยหลัง โดยเฉพาะเรื่องของการเลือกตั้ง ที่จริงแล้วตัวรัฐธรรมนูญไม่ได้มีปัญหา แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากคนที่ใช้รัฐธรรมนูญ โดยส่วนตัวมองว่าการทำงานของกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญสอบตก การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ถือเป็นการเกาไม่ถูกที่คัน เนื่องจากระบบการเลือกตั้งเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ ต่อไปจะเกิดรัฐบาลผสม พรรคเล็กจะมีอำนาจมาก ปัญหาในลักษณะนี้จะหนักยิ่งกว่าในยุคก่อน
       
       ขณะที่งานด้านการปฏิรูปนั้นยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน อาจมีเพียงการปฏิรูปด้านพลังงานที่มีการลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันลง ทำให้ราคาน้ำมันปรับลดลง แต่ราคาแก๊สก็ปรับขึ้น ส่วนด้านอื่นๆ ดำเนินการได้ช้ามาก
       
       ยอมรับว่ารัฐบาลชุดนี้คงทำอะไรไม่ได้มากนัก เนื่องจากเจอปัญหาด้านเศรษฐกิจในหลายด้าน แต่เชื่อว่าปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปัญหาด้านการปฏิรูปและเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนอาจมีผู้ไม่เห็นด้วยมากขึ้นนั้น คงไม่ทำให้รัฐบาลชุดนี้ต้องปิดฉากตัวเองก่อนกำหนด เชื่อว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คงทำตามโรดแมปที่วางไว้ คือคืนอำนาจให้กับประชาชนและให้มีการเลือกตั้งในปี 2559
       
       คนเคยหนุนเริ่มไม่หนุน
       
       ด้านนักวิชาการอีกรายยอมรับว่า สิ่งที่อดีตนายกฯ ทักษิณพูดไว้นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย เนื่องจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่เวลานี้บีบบังคับ เมื่อไม่สามารถแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจได้ แถมวิธีแก้ปัญหาของรัฐบาล โดยเฉพาะในส่วนของทีมเศรษฐกิจที่เสนอแต่ขึ้นภาษีในเวลานี้ ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจย่ำแย่ เพิ่มรายจ่ายของคนให้มากยิ่งขึ้น คนที่เคยรักเคยชอบรัฐบาลชุดนี้ คงชอบต่อไปไม่ลง
       
       ด้านการปฏิรูปนั้น อย่างด้านพลังงาน แม้จะทำให้ราคาน้ำมันลดลง แต่ก็ยังมีปมขัดแย้งในเรื่องการเปิดสัมปทานรอบที่ 21 แม้จะมีการชะลอไป แต่กลุ่มคนที่เคยสนับสนุนรัฐบาลชุดนี้ก็ออกมาคัดค้านในเรื่องดังกล่าว และยังจับตาการทำงานของรัฐบาลต่อไป ส่วนการปฏิรูปด้านศาสนาที่เข้าไปแตะต้องวัดพระธรรมกาย ก็เริ่มเกิดปฏิกิริยาความเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านการทำงานของคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ จนสุดท้ายต้องมีการยุบคณะกรรมการชุดดังกล่าวไป
       
       นี่คือการดำเนินการด้านการปฏิรูปเพียง 2 ด้าน ที่ทำให้คนที่เคยสนับสนุนการเข้ามายุติปัญหาของคณะรักษาความสงบแห่งชาติลดการสนับสนุนลงไปไม่น้อย ขณะที่การปฏิรูปด้านอื่นๆ ยังไม่มีด้านใดที่คืบหน้า
       
       เช่นเดียวกัน เรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เวลานี้เราได้เห็นความเห็นที่คล้ายกันของ 2 พรรคการเมืองใหญ่อย่างเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ ที่เคยมองแตกต่างกัน เวลานี้กลับมองในทิศทางเดียวกันคือ เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่อยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ทำให้มีความเป็นประชาธิปไตยน้อยลงกว่าเดิม เนื่องจากกติกาใหม่ของรัฐธรรมนูญ ทำให้อำนาจของนักการเมืองหายไปจากเดิมมาก
       
       “ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ที่ยังไร้มาตรการที่จะเข้ามากระตุ้น ผลกระทบจากการปฏิรูปในด้านต่างๆ และรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น ย่อมทำให้คนที่ชื่นชมการทำงานของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ย่อมลดลงไปตามลำดับ แม้คุณทักษิณไม่พูดแต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นจึงการบ้านที่รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ต้องนำไปปรับปรุงแก้ไข” 

http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000028923

March 01, 2015

คนน้ำใจงาม ส่งของใช้ให้ทหาร 3 จังหวัดชายแดนใต้

เมื่อชายคนหนึ่ง ส่งของใช้ไปให้ทหารใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สิ่งที่ได้รับกลับมา ทำให้เขาตื้นตันใจมาก

แชร์กระหึ่ม คนน้ำใจงาม ส่งของใช้ให้ทหาร 3 จังหวัดชายแดนใต้ ต่อมามีโทรศัพท์สายตรงขอบคุณจากชายแดน ทำชาวเน็ตซึ้งไปตามๆกัน

ขณะนี้เกิดกระแสผู้คนในโลกโซเชียล ต่างแห่แชร์ข้อความของผู้ใช้เฟซบุ๊ก Tornrachada Sangswang ซึ่งได้ส่งของกินของใช้ไปให้เหล่าทหารและตำรวจใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมกับแนบกระดาษโน๊ตขอบคุณที่ทหารทุกคนปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญ โดยขอว่า หากของส่งถึงรบกวนให้โทรกลับมาบอกด้วย เนื่องจากเกรงว่าพัสดุจะไปไม่ถึง ต่อมา มีโทรศัพท์มาจากชายแดนใต้ ซึ่งผู้โพสต์ระบุข้อความดังนี้

จดหมายจากทหาร.jpg 

เมื่อบ่ายวันที่ 5 ม.ค. มีโทรศัพท์สายนึงมาจากชายแดนใต้ "...ผมสิบตำรวจเอกสุขสันต์ โทรจากชายแดนใต้ ฐานบ้านสายสุราษฎร์ ที่คุณส่งของมาให้น่ะครับ ผมโทรมาบอกว่าได้รับของแล้วนะครับ ของที่ส่งมาได้ใช้หมดทุกอย่าง พวกผมต้องขอบคุณมากๆ ที่มีน้ำใจส่งของมาให้..."

หลังได้รับสายโทรศัพท์ดังกล่าว ผู้โพสต์เผยว่า ตนตื่นเต้นมาก แม้จะเป็นการคุยชั่วครู่ แต่ก็นานพอที่จะทำให้อิ่มใจไปอีกนาน พร้อมทิ้งท้ายข้อมูลสำหรับคนที่อยากจะส่งของให้ตำรวจและทหารชายแดนแบบนี้บ้าง โดยสิ่งของที่ต้องการ คือ ขนมที่เก็บได้นาน ยารักษาโรค กาแฟ ชา น้ำพริกต่างๆ กางเกงในชาย ถุงเท้า หนังสือการ์ตูน นิตยสาร หรืออื่นๆ เพิ่มเติม เช่น แป้งเย็นแป้งระงับกลิ่นอับชื้น แปรงสีฟัน ยาสีฟัน มีดโกนหนวดที่มีคุณภาพดีๆ แชมพู ผงซักฟอก เสื้อกล้ามชาย สมุดปากกา ส่งที่

1. ค่ายจุฬาภรณ์ ต.โคกเคียน อ.เมือง จ.นราธิวาส 96000
2. ค่าย สิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี 94160
3. ค่าย อิงคยุทธบริหาร ต.บ่อทอง อ.เมือง จ.ปัตตานี 94170
4. ฐานปฏิบัติการ ตชด. ธรณิศ ศรีสุข ต.เขื่อนบางลาง อ. บันนังสตา จ.ยะลา 95130
5. ฐานปฏิบัติการ ตชด. บ้านสายสุราษฎร์ ต.เขื่อนบางลาง อ.บันนังสตา จ.ยะลา 95130
6. ฐานปฏิบัติการ ตชด. 444 ต.โต๊ะตีเต อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี 94150
7. หน่วยเฉพาะกิจ ที่ 21 ที่ว่าการ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี 94160
8. หน่วยเฉพาะกิจ ที่ 22 วัดควนนอก อ.ปานาเระ จ.ปัตตานี 94190
9. หน่วยเฉพาะกิจ ที่ 23 วัดหลักเมือง อ.เมือง จ.ปัตตานี 94000
10. หน่วยเฉพาะกิจ ที่ 24 ศูนย์ฝึกอาชีพวัดช้างไห้ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี 94180
11. หน่วยเฉพาะกิจ ที่ 25 สำนักงานสงฆ์ทุ่งยางแดง อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี 94140
12. หน่วยเฉพาะกิจ ที่ 26 วัดโชติรส อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี 94220
13. กรมทหารพราน ที่ 43 ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี 94170
14. กองร้อยทหารสารวัตร จังหวัดทหารบกปัตตานี ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี 94170

ทั้งนี้ ปรษณีย์ไทยจะให้บริการส่งพัสดุแบบธรรมดา ไป 3 จังหวัดชายแดนใต้ ฟรี หากน้ำหนักไม่เกิน 5 กิโลกรัม และไม่มีหมดเขต โดยต้องวงเล็บ (ทบ. สนามชายแดน) ไว้ที่มุมขวาบนกล่องด้วย

ที่มา 
https://www.facebook.com/tornrachada.sangswang?fref=ts