Pages

Long Live The king

Long Live The king

April 24, 2013

แบงก์ชาติ-เฮดจ์ฟันด์ป่วนตลาดปั่นราคาทองคำโลก 23.4.56


แบงก์ชาติ-เฮดจ์ฟันด์ป่วนตลาดปั่นราคาทองคำโลก


23 เมษายน 2556 เวลา

ตกอยู่ในอาการตื่นทองกันทั่วโลกในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อราคาทองคำในตลาดดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 33 ปี แถมยังร่วงแรงทำสถิติลงมาเกือบ 10% ภายในหนึ่งวัน เมื่อวันที่ 15 เม.ย. โดยอยู่ที่ 1,361.70 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์
ผลลัพธ์ข้างต้นทำให้นักลงทุน ซึ่งรวมถึงบรรดาธนาคารกลางอีกส่วนหนึ่งซึ่งถือครองเก็บสำรองทองคำอยู่ในสภาวะขาดทุนระนาว เพราะราคาที่หล่นฮวบทำให้มูลค่าของทองคำสำรองเฉพาะของธนาคารกลางหายไปกว่า 5.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 16.24 ล้านล้านบาท) ภายใน 2 วัน
ขณะเดียวกันก็ทำให้นักลงทุนอีกส่วนหนึ่งเห็นเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ โดยหวังว่าราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะตกอยู่ในอาการตื่นทองแบบหวาดผวาหรือยินดี ผู้เชี่ยวชาญในตลาดทองคำส่วนใหญ่ต่างออกโรงเตือนว่า สถานการณ์ผันผวนและเอาแน่เอานอนไม่ได้ในปัจจุบัน ได้แสดงให้เห็นว่าราคาทองคำขณะนี้กำลังเป็นเครื่องมือสำหรับการเก็งกำไรหารายได้ใหม่ของผู้เล่นรายใหญ่ 2 กลุ่ม คือ ธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น กับกองทุนบริหารความเสี่ยง หรือที่รู้จักกันดีในนาม เฮดจ์ฟันด์
เจฟฟรีย์ ซิกา ประธานเอสไอซีเอ เวลท์ แมเนจเมนท์ ในมอร์ริสทาวน์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งดูแลบริหารจัดการเงินทุนต่างชาติมูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ยอมรับว่า สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทองคำไม่ได้เป็นเพียงแหล่งพักสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอีกต่อไป แต่จะเป็นแหล่งลงทุนโกยกำไรที่น่าสนใจสำหรับเฮดจ์ฟันด์
ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ราคาทองคำในตลาดโลกที่ผ่านมาอิงอยู่กับปัจจัยหลักๆ ประมาณ 3-4 ประการ คือ1) ค่าเงินเหรียญสหรัฐ เพราะเมื่อใดก็ตามที่เงินสกุลหลักของโลกอ่อนลง นักลงทุนรวมถึงธนาคารกลางทั่วโลกจะแห่ซื้อทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงและรักษามูลค่าสินทรัพย์ของตนเอง 2) ปริมาณการผลิตและปริมาณความต้องการที่มีอยู่จริงในตลาด ซึ่งเกี่ยวพันกับสภาวะเศรษฐกิจโลก โดยปริมาณความต้องการทองคำจะมาจากอุตสาหกรรมเครื่องประดับ อุตสาหกรรมการผลิตและการแพทย์ และภาคการลงทุนที่ต้องการทองคำมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังเกิดวิกฤตสินเชื่อเป็นต้นมา 3) ความวิตกกังวลในอัตราเงินเฟ้อที่ส่วนใหญ่นิยมสังเกตจากราคาน้ำมันในตลาด เพราะทองคำคือหนึ่งในสินทรัพย์ที่ถือครองเพื่อป้องกันเงินเฟ้อ และ 4) สถานการณ์การเมืองและระบบการเงินที่หากมีสภาวะไม่มั่นคงเมื่อใด นักลงทุนจะแห่เข้าหาทองคำเพื่อใช้เป็นหลักประกันรับรองความปลอดภัยในสินทรัพย์ของตนเองทันที
ทว่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างเห็นตรงกันว่าราคาทองคำอยู่ในสภาวะที่ไม่อาจใช้ปัจจัยข้างต้นมากะเกณฑ์คาดการณ์ได้อีกต่อไป ขณะเดียวกันก็เป็นที่น่าสังเกตว่าความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางในหลายประเทศ และกองทุนเฮดจ์ฟันด์ขนาดใหญ่กลับมีอิทธิพลต่อชะตากรรมของราคาทองคำมากขึ้น
กระทั่งอาจเรียกได้ว่า กลไกราคาทองคำในตลาดโลกบิดเบี้ยวและบิดเบือนด้วยความตั้งใจหรือจงใจของใครบางคนก็คงไม่ผิดนัก
ทั้งนี้ สำหรับภาวะเศรษฐกิจที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ แถมยังมีสภาพคล่องล้นเหลือจากนโยบายอัดฉีดของรัฐบาลหลายประเทศ แทนที่ราคาทองคำจะพุ่งพรวดทำสถิติใหม่เหมือนที่เคยทำได้ในเดือน ก.ย. 2554 ที่ 1,923.70 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แต่ราคาทองคำกลับไม่มีแววกระเตื้องขึ้นตามที่นักลงทุนหลายฝ่ายคาดหวัง
สาเหตุเพราะรายงานข่าวที่ระบุว่าธนาคารกลางไซปรัสกำลังจะขายทองคำสำรองบางส่วนเพื่อระดมทุนให้ได้อีก 1.3 หมื่นล้านยูโร เพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือ 1 หมื่นล้านยูโรจากสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) จนทำให้เกิดกระแสหวาดหวั่นว่าบางประเทศอาจเดินตามรอยไซปรัส ขายทองคำสำรองออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะของตนเอง
ยิ่งเมื่อก่อนหน้าข่าวขายทองคำของธนาคารกลางไซปรัส มีรายงานข่าวที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ของ จอร์จ โซรอส พ่อมดทางการเงินแห่ขายการถือครองทองคำในกองทุนตน แล้วหันมาลงทุนในตลาดหุ้นที่มีแนวโน้มฟื้นตัวมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ตลาดทองคำโลกหม่นหมองไม่น่าสนใจในทันที
นอกจากสถานการณ์ข้างต้นจะปั่นป่วนราคาทองคำในตลาดโลกได้เป็นอย่างดีแล้ว สัญญาณการเก็งกำไรทองคำยังเริ่มปรากฏให้เห็นได้ชัดเจนขึ้นจากการกลับเข้ามาถือครองทองคำ โดยเฉพาะในระยะยาวของบรรดาเฮดจ์ฟันด์ขนาดใหญ่อีกครั้ง
บลูมเบิร์กรายงานว่า แม้ราคาทองคำจะดำดิ่งมากที่สุดในรอบ 33 ปี แต่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ของมหาเศรษฐีอย่าง จอห์น พอลสัน หนึ่งในกองทุนที่ลงทุนรายใหญ่ในตลาดทองคำโลกกลับเลือกที่จะเพิ่มเดิมพันในทองคำมากขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลจากคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าล่วงหน้าของสหรัฐที่พบว่า บรรดาผู้จัดการกองทุนและนักเก็งกำไรต่างถือครองทองคำในระยะยาวเพิ่มอีก 9.8% มาอยู่ที่ 61,579 จุด ทั้งในตลาดฟิวเจอร์สและตลาดออปชั่นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งสิ้นสุดในวันที่ 16 เม.ย.
แดน เดนโบว์ ผู้จัดการกองทุนยูเอสเอเอ พรีเชียส เมทัลส์ แอนด์ มิเนเริลฟันด์ส กล่าวว่า เหตุการณ์ข้างต้นนับเป็นเรื่องน่าแปลกใจท่ามกลางราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงในปัจจุบัน แต่เมื่อพิจารณาจากมูลค่าที่มีอยู่ในตัวเองของทองคำ จึงไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนหลายรายเลือกที่จะพึ่งระยะเวลาให้ช่วยเยียวยาราคาทองคำ
คาเมรอน แบรนด์ต ผู้อำนวยการการวิจัยแห่งเคมบริดจ์ ซึ่งคอยติดตามกระแสความเคลื่อนไหวของทุนในตลาดทั่วโลก ยอมรับว่า การที่ราคาทองคำร่วงลงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดาผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่ต่างเร่งถอนเงินลงทุนออกจากสารพัดกองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 3,700 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.07 แสนล้านบาท) โดยในจำนวนดังกล่าวประมาณ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นเงินทุนที่ไหลออกจากตลาดทองคำและแร่โลหะมีค่าอื่นๆ เช่น เงิน แต่การเทขายส่วนใหญ่ล้วนเป็นการถือครองทองคำระยะสั้น
ขณะที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ของพอลสันแอนด์โค ให้เหตุผลอย่างมั่นใจว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากปริมาณความต้องการซื้อในตลาดเอเชีย โดยเฉพาะจากจีนและอินเดียจะทำให้ราคาทองคำไม่ตกต่ำในระยะยาวแน่นอน
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ราคาทองคำในตลาดโลกทำสถิติดิ่งลงแตะ 1,321.50 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ในวันที่ 16 เม.ย. ราคาทองคำแท่งในขณะนี้ตีตื้นกลับมาแล้ว 5.6% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการแห่ซื้อทองของจีนและอินเดีย
สมาคมทองคำจีน ระบุว่า ยอดขายปลีกในวันที่ 15-16 เม.ย. เพิ่มสูงขึ้นจนน่าตกใจ ด้านสมาคมทองคำแท่งบอมเบย์แห่งอินเดียถึงกับคาดการณ์ว่ายอดนำเข้าทองของประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น 36% ในช่วง 3 เดือนต่อจากนี้เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ผู้ผลิตทองคำรายใหญ่อย่างยูเอส มินท์ ขายทองคำไปได้แล้วทั้งสิ้น 1.675 แสนออนซ์ในเดือน เม.ย. ทำสถิติสูงสุดประจำเดือนนับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2553
นอกจากนี้ พอลสันแอนด์โค ยังระบุอีกว่า ในอนาคตอันใกล้ นโยบายอัดฉีดเงินเข้าระบบของบรรดาธนาคารกลางจะทำให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อแน่นอน ซึ่งการลงทุนในทองคำย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด สอดคล้องกับความเห็นของ แคเธอรีน รอว์ ผู้จัดการกองทุนแบล็กร็อกในลอนดอน หนึ่งในเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ที่ลงทุนในทองคำ ที่ระบุว่าราคาทองคำดิ่งขณะนี้เป็นผลจากภาวะตื่นตระหนกจากกระแสข่าวแห่ขายทองของธนาคารกลางในหลายประเทศเสียมากกว่า
ด้านนักวิเคราะห์อีกส่วนหนึ่งยังให้เหตุผลว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากราคาที่ถูกลงทำให้มีแรงดึงดูดให้ธนาคารกลางบางประเทศตัดสินใจเพิ่มการลงทุนในทองคำหรือเพิ่มปริมาณทุนสำรองทองคำของตนเอง เห็นได้จากธนาคารกลางศรีลังกาที่ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 16 เม.ย. ว่า ราคาทองที่ร่วงลงถือเป็นโอกาสอันดีให้ประเทศเพิ่มทุนสำรอง
แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านทองคำต่างสรุปตรงกันว่า เมื่อพิจารณาราคาทองคำในขณะนี้ควบคู่กับทิศทางแนวโน้มราคาในอนาคต “ทองคำ” อาจเป็นสินทรัพย์ที่อันตรายสำหรับการลงทุนของใครหลายคนก็เป็นได้

April 23, 2013

ทอง...ขาขึ้น-ลง? ตอน 1

รายงาน CFTC ชี้เฮดจ์ฟันด์ยังคงเข้าช้อนซื้อทองหลังราคาดิ่งลงรุนแรง

ASTVผู้จัดการออนไลน์23 เมษายน 2556 

ฮดจ์ฟันด์และนักเก็งกำไรรายใหญ่ในสหรัฐยังคงนำเงินเข้ามาลงทุนในทองถึงแม้ราคาทองดิ่งลงครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์ในรูปของดอลลาร์ในสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้ ตัวเลขที่ออกมาในวันศุกร์ยังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่า มีเงินลงทุนไหลเข้าสู่สินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่นๆ อีกหลายประเภทคณะกรรมการการค้าสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ของสหรัฐ (CFTC) รายงานว่า ผู้จัดการกองทุนถือครองสถานะซื้อสุทธิในสินค้าโภคภัณฑ์ 22 ประเภทในตลาดสหรัฐเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบ 950 ล้านดอลลาร์ หรือ 6% สู่ 5.65 หมื่นล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 16 เม.ย.  
                 ข้อมูลดังกล่าวสร้างความประหลาดใจให้กับเทรดเดอร์และนักวิเคราะห์ ซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินจำนวนมากไหลออกจากทองและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆจำนวนมากในสัปดาห์นี้ หลังจากราคาร่วงลงทั่วตลาดเมื่อวันที่ 15 เม.ย. อันเป็นผลจากความวิตกเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก   
                 นายอดัม ซาร์แฮน ผู้ก่อตั้งบริษัทซาร์แฮน แคปิตอลในนิวยอร์ค กล่าวว่า "ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่จะประหลาดใจที่เห็นตัวเลขนี้ โดยเฉพาะสำหรับทอง"   
                 ข้อมูลจาก CFTC บ่งชี้ว่า สถานะซื้อสุทธิทองในตลาด COMEX ที่ถือครองโดยผู้จัดการตลาดเงินรวมถึงเฮดจ์ฟันด์นั้น พุ่งขึ้น 5,495 สัญญาสู่ 61,579 สัญญา
             ส่วนสัญญาที่ยังไม่มีการซื้อขายในทองซึ่งเป็นตัววัดสภาพคล่องตลาดนั้นพุ่งขึ้น 24%  
                 ราคาทองสปอตปิดที่ระดับสูงกว่า 1,400 ดอลลาร์/ออนซ์เพียงเล็กน้อยในวันศุกร์ โดยลดลงมากกว่า 5% ในรอบสัปดาห์   
                 เมื่อวันจันทร์ที่ 15 เม.ย. ราคาทองร่วงต่ำกว่าระดับ 1,340 ดอลลาร์ โดยดิ่งลงมากกว่า 8% หรือมากกว่า 125 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงมากที่สุดในรอบ 1 วันในรูปสกุลเงินดอลลาร์ ขณะที่ราคาทองได้แรงหนุนบางส่วนในระยะต่อมา ขณะที่กลุ่มผู้บริโภคได้เข้าซื้อทองแท่ง, เหรียญทอง, ก้อนทอง และเครื่องประดับที่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์
                 "ราคาทองดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดอันเป็นผลจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น และแรงซื้อคืน" นายเดวิด มีเจอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายซื้อขายโลหะของวิชั่น ไฟแนนเชียล มาร์เก็ตส์กล่าว   
                 แม้ราคาดีดตัวขึ้น แต่นักวิเคราะห์กล่าวว่า ราคาทองอาจร่วงลงอีกในระยะใกล้  เนื่องจากยังคงมีเงินไหลออกจากกองทุน ETFs ทอง
                 กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุด ของโลก มีเงินไหลออกสุทธิรายสัปดาห์มากที่สุดอันดับ 3 ราว 2.2 พันล้านดอลลาร์ ในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 17 เม.ย.
                 นักวิเคราะห์กล่าวว่า ผู้กำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)อาจแนะนำให้ลดมาตรการกระตุ้นด้านการเงินในระยะใกล้ ซึ่งจะส่งผลกระทบทางลบต่อราคาทอง
                 ส่วนตลาดที่มีสถานะซื้อสุทธิลดลงอย่างมากในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 16 เม.ย. นั้น ได้แก่น้ำมันดิบสหรัฐและน้ำมันเบนซิน   
                 ข้อมูลของ CFTC บ่งชี้ว่า สัญญาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX มีสถานะซื้อสุทธิลดลง 1.2 พันล้านดอลลาร์ หรือลดลง 13,298 สัญญา ขณะที่สัญญาที่ยังไม่มีการซื้อขายเพิ่มขึ้น 2%
                 สถานะซื้อสุทธิของสัญญาน้ำมันเบนซินตลาด NYMEX ร่วงลงราว 1.2พันล้านดอลลาร์หรือ 10,350 สัญญา   
                 สถานะซื้อสุทธิของสัญญาก๊าซธรรมชาติปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 9 ติดต่อกันสู่ระดับสูงสุดครั้งใหม่เป็นประวัติการณ์ ขณะที่มูลค่าของสถานะซื้อสุทธิในตลาด Intercontinental Exchange เพิ่มขึ้นราว 651 ล้านดอลลาร์หรือ 16,411 สัญญา และสัญญาที่ยังไม่มีการซื้อขายเพิ่มขึ้น 4%
       (ข่าวจาก สำนักข่าว รอยเตอร์)
       
       T.Thammasak

KTAM คาดทองลงอีก แนะปรับสัดส่วนลงทุนเหลือ 5 เปอร์เซ็นต์

KTAM คาดทองลงอีก แนะปรับสัดส่วนลงทุนเหลือ 5 เปอร์เซ็นต์
ASTVผู้จัดการออนไลน์21 เมษายน


ผู้จัดการกองทุน บลจ.กรุงไทยมองระยะสั้นราคาทองเตรียมปรับตัวลดลงอีกแม้สัปดาห์ที่ผ่านมารีบาวนด์ขึ้นเล็กน้อยจากแรงซื้อ พร้อมมองแนวต้านอยู่ที่ 1,309 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวรับอยู่ที่ 1,265 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่แรงซื้อแรงขายกองทุนทองคำยังมีไม่มาก คาดนักลงทุนรอจังหวะเก็บของถูกเข้าพอร์ต
       
       นายพีรพงศ์ กิจจาการ ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แรงซื้อกองทุนที่ลงทุนในทองคำไม่ว่าจะเป็น ETF หรือกองทุนรวมนั้นก็มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนพอสมควรแต่ก็ถือว่ายังไม่มากจนน่าตกใจ ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าราคาทองคำ ณ ปัจจุบันยังมีโอกาสปรับลงต่อได้อีก โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองมีการปรับขึ้นเล็กน้อยจากแรงซื้อ
       
       อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายสำนักเริ่มมีการปรับประมาณการราคาทองกันเป็นจำนวนมาก โดยเรามองว่าราคาทองคำจะมีโอกาสกลับขึ้นไปทดสอบที่ 1,420 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยมีแนวต้านอยู่ที่ 1,309 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวรับอยู่ที่ 1,265 ดอลลาร์ต่อออนซ์
       
       ทั้งนี้ ปัจจัยที่สนับสนุนให้ราคาทองคำไปต่อนั้นก็คืออัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ควาเสี่ยงในยูโรโซนยังมีอยู่ต่อเนื่อง นอกจากนี้ ประเทศตลาดเกิดใหม่ต้องการถือทองคำเพิ่มทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามา
       
       ขณะที่ปัจจัยลบที่ส่งผลต่อราคาทองคำนั้นก็คือแรงเทขายจากกองทุน SPDR ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน-12 เมษายนที่ผ่านมากว่า 53.5 ตัน คิดเป็นเงิน 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งแนวโน้มคาดการณ์ว่าอาจจะมีการเทขายเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน สภาพคล่องที่ไหลเข้ามาลงทุนในทองคำตั้งแต่สหรัฐฯ ออกมาตรการ QE3 นั้นเริ่มกลับเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นเพิ่ม เนื่องจากสินทรัพย์ประเภทอื่นเริ่มให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในทองคำ นอกจากนี้เรื่องการเทขายทองของไซปรัส และอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็มีผลต่อการปรับลงของราคาทองคำด้วยเช่นกัน
       
       นายพีรพงศ์กล่าวต่อว่า เราประเมินว่าในระยะสั้นนี้ราคาทองน่าจะปรับตัวลงต่อ แต่ในระยะกลางความเสี่ยงเรื่องราคาจะปรับลดลง สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนในทองคำช่วงนี้เชื่อว่าในระยะกลางนักลงทุนควรทยอยลงทุนและถือไว้ในพอร์ตประมาณ 10-15% ส่วนการลงทุนในช่วงนี้น่าจะมีอยู่ในพอร์ตประมาณ 5%
       
       ทางด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าในระยะข้างหน้าตลาดทองคำยังคงต้องเตรียมรับมือกับภาวะผันผวน เนื่องจากตัวแปร/เงื่อนไขที่จะเอื้อต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดทองคำอาจจะไม่เกิดขึ้นในจังหวะเวลาที่สอดคล้องกัน โดยอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นของแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและวิกฤตหนี้ยูโรโซน ตลอดจนภาวะเงินเฟ้อในหลายประเทศที่เป็นแกนนำของโลก ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ
       
       ดังนั้น แม้ตลาดน่าจะรับรู้ตัวแปรจากมาตรการ QE ของเฟดไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่คงต้องประเมินสัญญาณความต่อเนื่องของการใช้ QE จากเฟด รวมถึงทิศทางที่ชัดเจนขึ้นของการเยียวยาปัญหาเศรษฐกิจ/เงินฝืดในญี่ปุ่น และปัญหาหนี้ในยูโรโซนประกอบด้วย เพราะต้องยอมรับว่าปัจจัยเหล่านี้ย่อมจะย้อนกลับมามีผลในการกำหนดทิศทางเงินดอลลาร์ และราคาทองคำในช่วงนับจากนี้เช่นกัน
       
       โดยนอกจากจะต้องจับตาทิศทางการซื้อ-ขายในระยะสั้นแล้ว การประเมินสถานการณ์ตลาดทองคำยังอาจต้องจับสัญญาณปัจจัยพื้นฐาน เช่น สถานการณ์วิกฤตหนี้ยูโรโซน ความเสี่ยงเงินเฟ้อ และผลตอบแทนของสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่อื่นๆ โดยเปรียบเทียบกับทองคำประกอบด้วย

April 22, 2013

ผ่าขุมทรัพย์"ทองคำแสนตัน"ทั่วโลก


21 เมษายน 2556 
เปิดข้อมูลประเมินปริมาณทองคำทั่วโลก ที่เชื่อกันว่าที่คาดว่าน่าจะมีปริมาณเกิน 1.5 แสนตัน ทว่าแนวโน้มกลับจะถูกใช้หมดไปในการผลิตสินค้า
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งดิ่งทุบสถิติต่ำที่สุดในรอบ 30 ปี โดยนักวิเคราะห์หลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นผลมาจากตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ต่ำกว่าที่คาด และจากความกังวลข่าวธนาคารกลางหลายประเทศในยุโรปเตรียมนำทองคำสำรองออกมาขายเพื่อระดมทุนใช้หนี้สาธารณะ
แม้ว่าเหตุการณ์ “แปลกประหลาด” ครั้งนี้จะสั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก ทว่าตลาดทองคำก็ยังคงถือเป็นแหล่งทำเงินที่นักลงทุนเชื่อมั่นสูง เนื่องจากในรอบหลาย 10 ปีที่ผ่านมา ทองคำมีราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ และ “มีปริมาณจำกัด” ทั้งที่ถูกขุดขึ้นแล้วและยังอยู่ใต้โลก
วอร์เรน บัพเฟตต์ หนึ่งในนักลงทุนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกชาวอเมริกันเคยกล่าวไว้ว่า ปริมาณทองคำทั้งหมดที่ถูกขุดขึ้นมาในโลกนั้น มีจำนวนเพียงพอที่จะนำมาสร้างเป็นแท่งสี่เหลี่ยมที่มีขนาดด้านใหญ่ถึงละ 20 เมตรเลยทีเดียว ทว่าไม่มีใครรู้ว่าเป็นจริงหรือไม่ และจะใช้วิธีอะไรในการพิสูจน์
บีบีซี ระบุว่า หนึ่งในค่าประมาณการที่เหล่านักลงทุนมักใช้กันในปัจจุบันนั้น เป็นการประเมินโดย ทอมสัน รอยเตอร์ จีเอฟเอ็มเอส บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยแร่ทองคำ เงิน และแพลทินัม ซึ่งพบว่ามีปริมาณทองคำรวมกันทั้งหมดในโลกกว่า 171,300 ตัน โดยหากนำมาผลิตรวมกันเป็นแท่งขนาดใหญ่ จะมีขนาดความกว้างยาวและสูงกว่า 20.7 เมตร ใกล้เคียงกับขนาดที่ บัฟเฟตต์ ประมาณการเอาไว้
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังไม่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไป เนื่องจากตัวเลขประมาณการในปัจจุบันนั้นยังคงมีความแตกต่างกันมาก โดยมีตั้งแต่ปริมาณ 155,244 ตัน ซึ่งน้อยกว่าตัวเลขของจีเอฟเอ็มเอสเล็กน้อย จนถึง 2.5 ล้านตัน ซึ่งมากกว่า 16 เท่า และหากนำมาอัดเป็นแท่งเดียวกัน ก็จะเต็มความจุของสนามหลักของวิมเบิลดันและมีความสูงถึง 143 เมตรเลยทีเดียว
จากคำกล่าวอ้างของ ทิโมธี กรีน นักประวัติศาสตร์ทองคำนั้น ระบุว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การคาดคะเนปริมาณทองคำในโลกมีความคลาดเคลื่อนสูง เนื่องจากทองคำนั้นถูกขุดขึ้นมาเป็นเวลานานกว่า 6,000 ปีแล้ว โดยเหรียญทองคำแรกของโลกถูกผลิตขึ้นมาในช่วง 550 ปีก่อนคริสตกาล โดย โครเอซุส กษัตริย์แห่งอาณาจักรลิเดีย ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในประเทศตุรกีปัจจุบัน และได้รับการยอมรับในฐานะสื่อกลางการแลกเปลี่ยนในภูมิภาคนั้นอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ยังมีการถกเถียงกันด้วยว่า เทคโนโลยีในการขุดทองสมัยโบราณมีศักยภาพในการผลิตมากเพียงใด โดยจีเอฟเอ็มเอสเชื่อว่ามีทองคำปริมาณกว่า 12,780 ตัน ถูกขุดขึ้นมาก่อนปี 1492 ซึ่งเป็นปีที่โคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกา
ทว่า เจมส์ เทิร์ค ผู้ก่อตั้งบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านทองคำ โกลด์ มันนี เชื่อว่าเป็นการประเมินที่สูงเกินไป เนื่องจากเทคนิคการขุดทองสมัยโบราณนั้นไม่ได้มีประสิทธิภาพเหมือนปัจจุบัน ปริมาณที่แท้จริงจึงน่าจะอยู่ที่ 297 ตันมากกว่า
นอกจากนี้ เทิร์ค ยังประเมินว่า ปัจจุบันทองคำทั่วโลกที่ถูกขุดขึ้นมาแล้วมีปริมาณรวมกันเพียง 155,244 ตัน ซึ่งน้อยกว่าที่จีเอฟเอ็มเอสประเมินไว้ 16,056 ตัน และแม้ว่าจะมีนักลงทุนบางกลุ่มที่ยอมรับการประเมินนี้ แต่นักวิเคราะห์ทองบางคนก็ยังมองว่า เมื่อเทียบกับตัวเลขที่มาจากสถาบันที่น่าเชื่อถือกว่าอย่างจีเอฟเอ็มเอสแล้ว การประเมินนี้เป็นเพียงความเชื่อของ “ลัทธิ” ที่พยายามต่อกรกับความเชื่อของแนวทางสายหลักเท่านั้น
“เพียงแค่ในสุสานตุตันคาเมนแห่งเดียว ก็มีโลงศพที่ถูกสร้างขึ้นจากทองคำปริมาณกว่า 1.5 ตันแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจหากจะพบว่ามีทองคำอีกมหาศาลทั้งที่ถูกปล้นไปและคงเหลืออยู่ในสุสานโบราณหลายแห่งที่มีปริมาณมากกว่าการประเมินนี้มหาศาล” ยาน สกอยเลส จากบริษัทลงทุนด้านทองคำ เรียล แอสเซท กล่าว
แม้จะยังไม่มีวิธีการหาตัวเลขปริมาณทองคำทั้งหมดในโลกอย่างแน่ชัด แต่สถาบันโกลด์ สแตนดาร์ด ก็พยายามใช้สูตรคณิตศาสตร์คำนวณหาปริมาณทองคำที่ถูกขุดขึ้นมาแล้ว โดยได้บทสรุปว่า หากนำทองคำออกมาจากตู้เซฟทั่วโลกแล้ว จะมีทองคำไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้านตัน แต่ก็ยังเป็นการคาดคะเนที่สูงเอาการและยังขาดหลักฐานที่เพียงพอ
ไม่ว่าบทสรุปของปริมาณทองคำทั่วโลกจะมีเท่าไร แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องน่ากังวลใจคือ ทองคำมีแนวโน้มที่จะถูกใช้จนหมดไปจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ทองคำในการผลิตสินค้าต่างๆ ไม่เหมือนในอดีตที่ทองคำจะถูกนำไปรีไซเคิลเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ
จากเดิมที่มีการนำทองคำกลับมาใช้ผลิตสินค้าใหม่ได้เรื่อยๆ เนื่องจากถูกผลิตขึ้นเป็นชิ้นใหญ่ ทว่าปัจจุบันมีแนวโน้มที่ทองคำจะถูกใช้เป็นขนาดที่เล็กลงมาก โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยี จึงอาจจะทำให้มีการนำกลับมาใช้ใหม่ได้ลำบาก โดยจากการสำรวจทางธรณีวิทยาของอังกฤษพบว่า กว่า 12% ของทองคำที่ใช้อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ และถูกใช้ในปริมาณที่น้อยมากในการผลิตสินค้าแต่ละชิ้น
หากไม่มีการนำมารีไซเคิลผลิตซ้ำ มูลค่าของทองคำก็อาจเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ได้อีกครั้งในอนาคตอีกไม่นานนี้

April 21, 2013

นักลงทุนแห่ขายกองทุนทองสหรัฐหนักสุดเป็นประวัติการณ์

นักลงทุนแห่ขายกองทุนทองสหรัฐหนักสุดเป็นประวัติการณ์ในสัปดาห์ล่าสุด

ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20เมษายน 2556

บริษัทลิปเปอร์ในเครือธอมสัน รอยเตอร์รายงานว่า นักลงทุนในกองทุนที่มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐ ถอนเงินลงทุนสูงเป็นประวัติการณ์ราว 2.7 พันล้านดอลลาร์ ออกจากกองทุนสินค้าโภคภัณฑ์และโลหะมีค่าในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 17 เม.ย. ขณะที่กองทุนหุ้นญี่ปุ่นดึงดูดเงินลงทุนได้สูงเป็นประวัติการณ์ ราว1.67 พันล้านดอลลาร์
                 ทั้งนี้ ลิปเปอร์จัดทำรายงานรายสัปดาห์โดยรวบรวมข้อมูลมาจากกองทุน  ETF และกองทุนรวมที่มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐ โดยตัวเลขของ ETF มักสะท้อนพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนสถาบัน ในขณะที่ตัวเลขของกองทุนรวมมักสะท้อนพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนรายย่อย                  กระแสเงินไหลออกจากกองทุนสินค้าโภคภัณฑ์และโลหะมีค่าในสัปดาห์ล่าสุดนี้ ถือเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการรายงานตัวเลขนี้ในเดือนพ.ค.  2011 เป็นต้นมา โดยกองทุนกลุ่มนี้มักจะลงทุนในทอง                 ราคาทองแท่งดิ่งลงเกือบ 9 % ในวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยมีราคารูดลงกว่า 125 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงครั้งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์                 ความอ่อนแอของราคาทองและสินค้าโภคภัณฑ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลก                 นายดั๊ก แคส ผู้ก่อตั้งซีบรีซ พาร์ทเนอร์ส แมเนจเมนท์ อิงค์ ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวของราคาทองและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆบ่งชี้ว่า "การเติบโตของเศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอตัวลงสู่ระดับที่ส่งผลกระทบต่อการคาดการณ์ในทางบวกต่อผลกำไรภาคเอกขน"                 นักลงทุนนำเงิน 1.68 พันล้านดอลลาร์เข้ามาลงทุนในกองทุน ETF ที่ถือครองหุ้นญี่ปุ่นในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 17 เม.ย. แต่กองทุนรวมหุ้นญี่ปุ่นมีกระแสเงินไหลออกเล็กน้อย ดังนั้นยอดเงินไหลเข้าสุทธิสำหรับกองทุนหุ้นญี่ปุ่นจึงอยู่ที่ 1.67 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการจัดทำตัวเลขนี้ในปี 1992 เป็นต้นมา                 กระแสเงินจำนวนมากหลั่งไหลเข้าสู่กองทุน ETF หุ้นญี่ปุ่น หลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ในวันที่ 4 เม.ย. ซึ่งเป็นมาตรการอัดฉีดเงิน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ เข้าสู่เศรษฐกิจญี่ปุ่นภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี โดยผ่านทางการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB) เป็นส่วนใหญ่                 นายแมทธิว เลมิเยอซ์ นักวิเคราะห์ของลิปเปอร์ กล่าวว่า "เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐที่อยู่ในภาวะอ่อนแอ การลงทุนในตลาดญี่ปุ่นก็ดูเหมือนจะเป็นการลงทุนที่ดี"                 เงินจำนวนมากที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF หุ้นญี่ปุ่นมีส่วนช่วยหนุนกระแส เงินไหลเข้าสำหรับกองทุนหุ้นโดยรวมในสัปดาห์ล่าสุด โดยกองทุนรวมหุ้นและกองทุน ETF หุ้นมีกระแสเงินไหลเข้าสุทธิ 2.7 พันล้านดอลลาร์ โดยพุ่งขึ้นจากระดับ 1.4 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 10 เม.ย.                 กองทุน ETF ที่ถือครองหุ้นต่างชาติมีเงินไหลเข้า 1.46 พันล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ล่าสุด ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนม.ค.เป็นต้นมา และเป็นกระแสเงินไหลเข้าสุทธิครั้งแรก หลังจากมีเงินไหลออกมานานติดต่อกัน 4 สัปดาห์                 อย่างไรก็ดี กองทุนหุ้นสหรัฐมีกระแสเงินไหลเข้าลดลงเล็กน้อย โดยอยู่ที่ระดับเพียง 517 ล้านดอลลาร์ โดยกองทุนรวมหุ้นสหรัฐมีกระแสเงินไหลเข้าเพียง 421.3 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ล่าสุด ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ. ส่วนกองทุน ETF หุ้นสหรัฐมีเงินไหลเข้าเพียง 95.7 ล้านดอลลาร์                 อย่างไรก็ดี กระแสเงินไหลเข้าสำหรับกองทุนหุ้นสหรัฐที่ 517 ล้าน ดอลลาร์นี้ ถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ และสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า กระแสเงินไหลเข้าปรับตัวลงไม่มากนัก ถึงแม้ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงในช่วง สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 17 เม.ย.                 ตลาดหุ้นสหรัฐทรุดตัวลงในวันที่ 15 เม.ย.ในอัตราที่รุนแรงที่สุด นับตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. 2012 โดยทั้งดัชนี S&P 500, ดัชนีเฉลี่ย อุตสาหกรรมดาวโจนส์ และดัชนี NASDAQ ต่างก็ได้รับแรงกดดันจาก การรูดลงของราคาทอง และจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอ                 ราคาทองเริ่มร่วงลง หลังจากไซปรัสถูกบังคับให้ขายทองคำสำรองออกมา เพื่อหาเงินมาใช้ตามเงื่อนไขในมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินจากสหภาพยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศวงเงิน 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์                 ราคาทองได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากสัญญาณบ่งชี้ว่า เจ้าหน้าที่  ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใกล้ที่จะตัดสินใจชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอเกินคาดด้วย                 อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนอยู่ที่ 7.7 % ในไตรมาส 1/ 2013 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน โดยชะลอตัวลงจากอัตราการเติบโตที่ 7.9 % ในไตรมาส 4/2012                 บริษัทมอร์นิงสตาร์รายงานว่า พอร์ทลงทุนในโลหะมีค่าในสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมการลงทุนในทองและหุ้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับทอง มีขนาดลดลงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยมีขนาดลดลงเฉลี่ย 9.9 % ในช่วง 5 ปี                 กองทุนไมดาส และกองทุน ProFunds Precious Metals UltraSector ต่างก็มีขนาดลดลงกว่า 20 % ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา                 ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงกดดันในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 17 เม.ย. จากตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคและยอดค้าปลีกที่น่าผิดหวัง และจากการดิ่งลงของหุ้นกลุ่มการเงิน โดยดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลง 2.25 % ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์รูดลง 1.24 % ในช่วงสัปดาห์ดังกล่าว                 ถึงแม้ความต้องการลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐอยู่ในระดับต่ำแต่นักลงทุนก็ทุ่มเงิน 4.27 พันล้านดอลลาร์เข้าสู่กองทุนรวมและกองทุน ETF ที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่ต้องเสียภาษี ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 สัปดาห์                 กองทุนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดึงดูดเงินลงทุนได้ 987.7ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ล่าสุด ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2012 โดยกองทุน ETF ที่มีชื่อว่า iShares Barclays Short Treasury Bond Fund ดึงดูดเงินลงทุนได้ 628.2 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่ามากที่สุดในบรรดากองทุนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ                 ในส่วนของกองทุนรวมพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐนั้น กองทุน GMO US Treasury Fund ดึงดูดเงินลงทุนได้มากที่สุด โดยมีเงินไหลเข้า 297.2 ล้านดอลลาร์ ส่วนอันดับสองเป็นของกองทุน DoubleLine        Total Return Bond Fun ซึ่งมีเงินไหลเข้า 93.8 ล้านดอลลาร์                 กองทุนหุ้นกู้เกรดน่าลงทุนมีเงินไหลเข้า 1.27 พันล้านดอลลาร์ ในสัปดาห์ล่าสุด ซึ่งถือว่าน้อยที่สุดนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ส่วนกองทุนจังค์บอนด์ที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงและมีความเสี่ยงสูง ดึงดูดเงินลงทุนได้ 241.8 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนมี.ค.                 กองทุนตลาดเงินมีเงินไหลออก 2.59 หมื่นล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ ล่าสุด ซึ่งถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2011 ขณะที่กองทุนตลาดเงินเป็นกองทุนที่ลงทุนในหลักทรัพย์ระยะสั้น และถือเป็นกองทุนความเสี่ยงต่ำ                  การดิ่งลงอย่างรุนแรงของราคาทองในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา  อาจถือเป็นสัญญาณเตือนถึงความอ่อนแอของภาวะเศรษฐกิจโลก                  นักลงทุนชั้นนำบางรายกล่าวว่า การดิ่งลงของราคาทอง, น้ำมัน และโลหะในช่วงนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางประเทศอื่นๆ ในการสร้างอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง ถึงแม้ธนาคารกลางกลุ่มนี้อัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมากเข้าสู่ระบบการเงินโลกก็ตาม                 ราคาทองดิ่งลงในวันจันทร์ในระดับที่รุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์หากวัดในรูปของดอลลาร์ และผลกำไรขนาดหลายพันล้านดอลลาร์ที่นักลงทุนเคยได้รับจากการลงทุนในทองก็หายไปภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน  ขณะที่นักวิเคราะห์กล่าวว่า การดิ่งลงของราคาทองในครั้งนี้อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ราคาสินทรัพย์ประเภทอื่นๆอาจจะปรับตัวลงในอนาคต และสิ่งนี้อาจจะเริ่มต้นขึ้นแล้วเมื่อตลาดหุ้นดิ่งลงอย่างรุนแรงในบางวันในสัปดาห์นี้                 นักวิเคราะห์บางรายกล่าวว่า การดิ่งลงของราคาทองในครั้งนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า อาจเกิดเหตุรุนแรงทางเศรษฐกิจและตลาดในวงกว้างในช่วงต่อมา ซึ่งเหมือนกับเหตุการณ์การล้มละลายของลอง-เทิร์ม แคปิตัล แมเนจ เมนท์ ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ชื่อดังในปี 1998 และวิกฤติการเงินในอีกสิบปีต่อมา โดยราคาทองเคยทรุดตัวลงอย่างรุนแรงในช่วงก่อนเกิดเหตุร้ายแรง   2 เหตุการณ์นี้                 นายโมฮัมเหม็ด เอล-อีเรียน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของกองทุน  พิมโค ซึ่งบริหารสินทรัพย์ 2 ล้านล้านดอลลาร์ กล่าวว่า ความอ่อนแอของราคาทองและสินค้าโภคภัณฑ์ "เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความกังวลต่อการเติบโต ของเศรษฐกิจโลก" และกล่าวเสริมว่า "ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจมานานระยะหนึ่งแล้ว และกำลังส่งสัญญาณ ที่รุนแรงยิ่งขึ้นในขณะนี้"                 หลังจากนักลงทุนเทขายทองในช่วงต้นสัปดาห์นี้ เมื่อวานนี้พวกเขา ก็ได้เทขายพันธบัตรสหรัฐที่ได้รับการคุ้มครองจากภาวะเงินเฟ้อ (TIPS) หลังจากการประมูลพันธบัตรสหรัฐได้รับการตอบรับอย่างอ่อนแอ โดย TIPS เป็นตราสารหนี้ที่ใช้คุ้มครองนักลงทุนจากการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่สดใส                 การพุ่งขึ้นของราคาทองในช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจ ได้แรงหนุนบางส่วนจากการเก็งกำไรในเม็ดเงินจำนวนมากที่เกิดจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ซึ่งก่อนหน้านี้นักลงทุนเคยคาดการณ์กันว่า มาตรการปล่อยสินเชื่อจำนวนมากอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นทั่วโลก อย่างไรก็ดี การดิ่งลงในระยะนี้ ของราคาทอง, น้ำมัน และทองแดงบ่งชี้ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวอาจจะไม่เกิดขึ้น                 ราคาน้ำมันและทองแดงถือเป็นราคาสินทรัพย์ที่มีความผูกพันเป็นอย่างมากกับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก                 นักลงทุนจำนวนมากได้เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในฐานะสินทรัพย์ ปลอดภัยในระยะนี้ และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐร่วงลงใกล้จุดต่ำสุดรอบ 4 เดือน โดยสิ่งนี้ถือเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจ โลกมีแนวโน้มไม่มั่นคง เพราะนักลงทุนมักจะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอหรือไร้เสถียรภาพ                 กองทุน PIMCO Total Return Fund ได้ปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับพันธบัตร สหรัฐขึ้นสู่ 33 % ในเดือนมี.ค. จาก 28 % ในเดือนก.พ. โดย กองทุนแห่งนี้ถือครองสินทรัพย์ 2.89 แสนล้านดอลลาร์ และอยู่ภายใต้ การบริหารของนายบิล กรอส                  นายกรอสระบุทางทวิตเตอร์ในวันพุธว่า "ราคาทองเริ่มเข้าสู่ช่วง ของการเทขายในตลาดแล้ว และคุณควรเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ"                 นักวิเคราะห์บางรายกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่มีนักวิเคราะห์เพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่คาดการณ์เช่นนี้                  นายโคมาล ศรี-กุมาร ประธานบริษัทศรี-กุมาร โกลบอล สเตรเทจีส์ กล่าวว่า "เรื่องนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่ไม่สำคัญ เพราะส่งผลกระทบในระดับพื้นฐาน"                 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ปรับลดตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในวันอังคารที่ผ่านมา ขณะที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกอาจเติบโต 3.3 % ในปีนี้ โดยปรับลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 3.5 % ส่วนอัตราการเติบโตในปี 2012 อยู่ที่ 3.2 %                 เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) บางรายกังวลกับการชะลอตัวทาง เศรษฐกิจและการร่วงลงของอัตราเงินเฟ้อ โดยนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า "ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อยังคงร่วงลงต่อไป ผมก็จะเต็มใจปรับเพิ่มจังหวะความเร็ว" ในการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ                 นายศรี-กุมารกล่าวว่า สัญญาณต่างๆกำลังบ่งชี้ว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐอาจร่วงลงอย่างรุนแรงในช่วงครึ่งปีหลัง และเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยภายในปี 2014                 เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้นักลงทุนตั้งคำถามต่อประสิทธิภาพของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เฟด, ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) และธนาคารกลาง แห่งอื่นๆได้ประกาศใช้ในช่วงที่ผ่านมา และเนื่องจากรัฐบาลหลายประเทศประสบภาวะขาดแคลนเงินสด ธนาคารกลางของประเทศเหล่านี้จึงต้องรับภาระใหญ่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจโลกให้ขยายตัวอีกครั้งหลังผ่านพ้นวิกฤติ การเงิน โดยเฟดใช้วิธีเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและหลักทรัพย์ที่ได้รับ การค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (MBS) จำนวนมาก                 อย่างไรก็ดี ถ้าหากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเหล่านี้เริ่มส่งผลบวก น้อยลงเรื่อ่ยๆ สิ่งนี้ก็จะสร้างความกังวลเป็นอย่างมากต่อนักลงทุนในสินทรัพย์ เสี่ยง                 การดิ่งลงของราคาทองในช่วงนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่า อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง โดยในวันอังคารที่ผ่านมา  กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเพียง 1.5 %  ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.  2012                 แบงก์ ออฟ อเมริกา-เมอร์ริล ลินช์ประกาศเตือนเมื่อเร็วๆนี้ว่าราคาทองอาจร่วงลงสู่ 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์ก่อนจะเข้าสู่เสถียรภาพ โดยได้รับแรงกดดันจาก "ความกังวลเรื่องการร่วงลงของอัตราเงินเฟ้อ  และข่าวที่ว่าธนาคารกลางบางประเทศอาจจะขายทองออกมา" โดยราคาทองอยู่ที่ระดับ 1,392 ดอลลาร์/ออนซ์ในช่วงท้ายวานนี้                 การดิ่งลงของราคาทองและตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอในระยะนี้ ส่งผลให้นักลงทุนปรับลดตัวเลขคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะยาวลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปลายฤดูร้อนปี 2012                 ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนระหว่าง TIPS ประเภทอายุ 10 ปี และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐแบบปกติประเภท 10 ปี อยู่ที่ 2.27 % เมื่อวานนี้ ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนก.ย. 2012 หรือก่อนที่ เฟดจะประกาศมาตรผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 (QE3)                 ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนนี้เป็นมาตรวัดการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของนักลงทุน และถือเป็นอัตรา "คุ้มทุน" เมื่อเทียบกับภาวะเงินเฟ้อในช่วง 10 ปีข้างหน้า โดยส่วนต่างอัตราผลตอบแทนนี้เคยอยู่ที่ระดับสูงถึง 2.61 %  ในช่วงปลายเดือนม.ค.                 ทางด้านราคาสัญญาล่วงหน้า 3 เดือนของทองแดงดิ่งลงแล้ว 12 %  จากช่วงต้นปีนี้ และร่วงผ่านระดับ 7,000 ดอลลาร์/ตันลงไปในตลาดโลหะลอนดอนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2011                  ทองแดงเป็นโลหะสำคัญที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้างบ้านโดยใช้ทั้งในรถยนต์และท่อประปา ดังนั้นราคาทองแดงจึงถือเป็นมาตรวัดที่ดีสำหรับระดับอุปสงค์                 อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่า ราคาสินทรัพย์ซึ่งเคยประสบกับภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงในทศวรรษที่แล้ว ยังไม่ได้ปรับลดลงอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นการดิ่งลงของราคาทองและโลหะอื่นๆในช่วงนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลมากนัก                 นายริชาร์ด เบิร์นสไตน์ ซึ่งเป็นนักยุทธศาสตร์การลงทุนกล่าวว่า "เนื่องจากเศรษฐกิจโลกในขณะนี้อยู่ในช่วงขาลงของภาวะฟองสบู่ด้านสินเชื่อทั่วโลก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลที่จะคาดหวังให้อัตราเงินเฟ้ออยู่สูงผิดปกติ"                  นักวิเคราะห์บางรายกล่าวว่า ราคาทองควรจะปรับฐานลงอยู่แล้วในช่วงนี้ โดยราคาทองปรับตัวขึ้นนานติดต่อกัน 12 ปีแล้ว และพุ่งขึ้นมาแล้ว 52 % ในช่วง 3 ปีหลัง                  ขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง นักลงทุนก็ปรับลดการลงทุนในทอง               กองทุนสหรัฐที่ลงทุนในโลหะมีค่ามีกระแสเงินลงทุนไหลออก 2.7 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 17 เม.ย. ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์ โดยตัวเลขนี้รวมถึงกระแสเงิน 2.2 พันล้านดอลลาร์ ที่ไหลออกจากกองทุน SPDRs Gold Shares ETF ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกองทุน ETF ที่ใหญ่ที่สุดในโลก                 กองทุนแห่งนี้มีสินทรัพย์วงเงิน 5.08 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่สินทรัพย์ของกองทุนนี้ลดลงราว 1 ใน 3 นับตั้งแต่เดือนต.ค. 2012                 ราคาทองพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 5 % จากจุดต่ำสุดรอบ 2 ปีที่ 1,321 ดอลลาร์/ออนซ์ที่ทำไว้ในช่วงต้นสัปดาห์นี้ และสิ่งนี้ส่งผลให้นักลงทุนบางรายมองว่า การดิ่งลงในครั้งนี้อาจเป็นเพียงการปรับฐาน                 อย่างไรก็ดี นักลงทุนหลายรายยังคงกังวลว่า ราคาทองอาจจะดิ่งลงครั้งใหญ่อีกครั้ง โดยโบรกเกอร์รายหนี่งกล่าวว่า "ถ้าหากราคาทองร่วงลงแบบนี้อีกครั้ง ตลาดหุ้นก็จะดิ่งลงตามไปด้วย และ เมื่อนั้นเราจะเผชิญกับปัญหาที่แท้จริง        (ข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์)               T.Thammsak

April 09, 2013

ห้องสมุดที่รับบริจาคหนังสือ (ต่างจังหวัด)


ห้องสมุดที่รับบริจาคหนังสือ



รับบริจาคหนังสือธรรมะ,สื่อธรรมะทุกชนิด
จากสาธุชนผู้ใจบุญทุกๆๆท่าน ร่วมบริจาคได้ตามศรัทธา

กรุณาจัดส่งมาที่
พระธนนท์ ธฺมมสาโร
สำนักสงฆ์หน้าเขื่อน ม.๒ (บ้านโกรกน้ำขาว)
ต.โคกเพชรพัฒนา อ.บำเหน็จณรงค์ 
จ.ชัยภูมิ ๓๖๑๖๐



โรงเรียนชุมชนบ้านผำ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 9 บ้านผำ ตำบลเมืองสรวง อำเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด รหัสไปรษณีย์ 45220 โทรศัพท์ 043-597321(ในเวลาราชการ) หรือ 043-597205(นอกเวลาราชการ)

สิ่งของเครื่องใช้นักเรียนก็ยินดีรับบริจาคครับ เช่นเสื้อผ้า กระเป๋า ตุ๊กตา นาฬิกา ของใช้วัยรุ่น ที่ท่านคิดว่าไม่ใช้แล้ว ไม่รู้จะเก็บไว้ที่ไหน บริจาคทำบุญครับ
จึงขอความอนุเคราะห์ ขอบริจาคหนังสือส่งเสริมการอ่านหรือสิ่งของเครื่องของเครื่องใช้ให้กับทางโรงเรียนด้วยครับ โดยส่งทางพัสดุไปรษณีย์ตามที่อยู่ข้างบน หรือจะฝากส่งโดยบริษัทขนส่งเอกชนที่มีรถบรรทุกสิบล้อขนส่งถึงโรงเรียนคือห้างหุ้นส่วนจำกัด สายสงวนขนส่ง สำนักงานใน กทม. คือ เลขที่ 82/50 ถนนพุทธมลฑลสาย 2 แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กทม.โทร 02-8874698-9 แฟกซ์02-8874699
ขอขอบพระคุณล่วงหน้าเป็นอย่างสูง
นายอภิวัฒน์ เดชอุดมวรกุล
ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมชนบ้านผำ
addetvor@gmail.com


โรงเรียนบ้านพิลา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 3 บ้านพิลา ตำบลขี้เหล็กอำเภอปทุมรัตต์ จังหวัดร้อยเอ็ด รหัสไปรษณีย์ 45190 โทรศัพท์ 043-500179(ในเวลาราชการ) หรือ 043-531184(นอกเวลาราชการ)


สิ่งของเครื่องใช้นักเรียนก็ยินดีรับบริจาคครับ เช่นเสื้อผ้า กระเป๋า ตุ๊กตา นาฬิกา ของใช้ที่ท่านคิดว่าไม่ใช้แล้ว ไม่รู้จะเก็บไว้ที่ไหน บริจาคทำบุญครับ
จึงขอความอนุเคราะห์ ขอบริจาคหนังสือส่งเสริมการอ่านหรือสิ่งของเครื่องของเครื่องใช้ให้กับทางโรงเรียนด้วยครับ โดยส่งทางพัสดุไปรษณีย์ตามที่อยู่ข้างบน เก็บเงินปลายทาง
ขอขอบพระคุณล่วงหน้าเป็นอย่างสูง
นายจำนงค์ สุดประโคน
ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านพิลา
โทร.08-1749-8492
panom02@gmail.com



ห้องสมุดโรงเรียนทุ่งหลวงพลับพลาไชย 235 หมู่ 13 บ้านตาหยวก

ตำบลทุ่งหลวง อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด 45130

โทร. 043-611258

ครูบรรณารักษ์ ครูเตือน สร้อยจิต

ครูผู้ประสาน ครูมานิส สลางสิงห์

และอีกโรงเรียนครับ โรงเรียนประถมเดิม ที่อยู่

โรงเรียนบ้านตาหยวก(ประชาสงเคราะห์)

บ้านตาหยวก ต. ทุ่งหลวง อ. สุวรรณภูมิ จ. ร้อยเอ็ด 45130

ครูผู้ประสานงาน ครูมิญช์มนัส



เจริญพรผู้เห็นประโยชน์ในการบริจาคหนังสือ

อาตมาภาพขอบริจาคหนังสือทุกชนิดเข้าห้องสมุดที่วัด เพื่อประโยชน์ของทุกคนที่มาใช้ 
อาตมาจะขอไปรับเองตามเหตุปัจจัย ถวายหนังสือเป็นผ้าป่าหนังสือ
ให้วัดป่าบ้านผือ ต.รัตนบุรี อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์
ติดต่ออาตมาภาพได้ทุกวันที่เบอร์ 089-5814101 
พระเกรียงศักดิ์ อินทโชโต วัดป่าบ้านผือ รัตนบุรี สุรินทร์
หรือที่เฟสบุคชือ พระเกรียงศักดิ์ อินทโชโต ได้เหมือนกัน



วิทยาลัยเทคโนโลยีและการจัดการวังไกลกังวล ต.หนองจันทร์ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี 76120


โรงเรียนบ้านห้วยทราย ตำบลชุมพร อำเภอเมยวดี จังหวัดร้อยเอ็ด
082-2294019 อาจารย์นวลจันทร์ (คุณครูบรรณารักษ์ห้องสมุด)


โรงเรียนบันนังสตาอินทรฉัตรมิตรภาพที่ 200 ที่่ระลึก ส.ร.อ ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา มีนักเรียนทั้งหมด 902 คน มีห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์แต่ยังขาดอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลองพื้นฐาน สื่อเทคโนโลยีที่ใช้ในการค้นคว้าหาความรู้ และหนังสื่ออ่านเสริมวิทยาศาสตร์รวมถึงของสอบต่าง ๆ เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างสูงที่ให้ความอนุเคราะห์มา ณ โอกาสนี้ด้วยคะ

ที่อยู่ โรงเรียนบันนังสตาอินทรฉัตรมิตรภาพที่ 200 ที่่ระลึก ส.ร.อ ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา 95130
โทรติดต่อ ครูรอซีดะห์ เจะและ 0862994354


โรงเรียนบ้านบางลาง ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา มีนักเรียนทั้งหมด 326 คน ยังไม่มีห้องปฎิบัติการวิทยาศาสตร์และยังขาดอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลองพื้นฐาน สื่อเทคโนโลยีที่ใช้ในการค้นคว้าหาความรู้ และหนังสื่ออ่านเสริมวิทยาศาสตร์รวมถึงข้อสอบต่าง ๆ เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างสูงที่ให้ความอนุเคราะห์มา ณ โอกาสนี้ด้วยคะ

ที่อยู่ โรงเรียนบ้านบางลาง 89 ม.3 ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา 95130
โทรติดต่อ ครูรุสนี ปูลา 085-6291981



โรงเรียนนิด้าศึกษาศาสตร์ ตำบลกำแพง อำเภอละงู จังหวัดสตูลเพิ่งก่อตั้งห้องสมุดขึ้น จึงยังขาดแคลนหนังสือสำหรับพัฒนาห้องสมุดในระดับชั้นอนุบาล-มัธยม จึงขออนุเคราะห์ขอรับบริจาคหนังสือทุกประเภทจากศูนย์
ครูบรรรารักษ์ห้องสมุดโรงเรียนนิด้าศึกษาศาสตร์



โรงเรียนบ้านโนนคำแก้ว ตำบลสังเม็ก อำเภอกันทรลักษ์
จังหวัดศรีสะเกษ 

นายสมศักดิ์ เบ็ญมาศ
ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านโนนคำแก้ว
โทร 081 – 9662932
โทร.083-6569013 0836512863