Pages

Long Live The king

Long Live The king

October 31, 2012

ไอเดีย เปลี่ยน cassette tapes มาใช้ใหม่

เชื่อว่า หลายคนคงยัง เก็บ เทป คาสเสท ต่างๆไว้ เป็นความทรงจำ เรื่องราวเพลง อัดคำบรรยายชั่วโมงเรียน ในสมัยก่อน บางคนในยุคนี้ อาจจะไม่รู้จักก็ได้  พอดี อ่านเจอ แนวคิดการดัดแปลง tape cassette มาใช้ ในรูปลักษณ์ ต่างๆ จึงนำมาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน ..
แต่ถ้าหากใครที่อยากมีส่วนร่วมช่วยเหลือสังคม สามารถนำ เทป คาสเสท ไปบริจาคให้ ห้องสมุดเสียงเพื่อคนตาบอด ได้ ลองติดต่อสอบถามโดยตรง ที่  ห้องสมุดสียงเพื่อคนตาบอด...

... เมื่อเทคโนโลยีใหม่กำเนิดเกิดขึ้นอยู่มาเรื่อยๆ เทคโนโลยีเก่าๆก็ถูกลืมเลือน เปลี่ยนแปลงสภาพไปตามกาลเวลา วันนี้เราจะมาพูดถึง cassette tapes หรือเทปที่เราๆเอาไว้ฟังเพลงสมัยยังวัยกระเตาะ ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าแทบจะทุกบ้านที่ยังคงเก็บเจ้า cassette tapes ไว้อยู่ในกล่องใต้ถุนบ้านหรือหมกอยู่ในตู้ใดตู้หนึ่งของบ้านตัวเองอยู่เป็นแน่ๆ

เปลี่ยน cassette tapes ให้กลายมาเป็นของใช้ใหม่ cassette tapes back from the dead1 521x350วันดีคืนดีเปิดขึ้นมาเจอเค้า ฝุ่นเกาะฟุ้งกระจายทั่วห้องกันเลยทีเดียว ที่นี้จะทำอะไรกับเจ้าcassette tapesเหล่านี้กันได้บ้างหล่ะ ใจนึงก็ไม่อยากจะเก็บไว้ แต่อีกใจนึงก็เสียดายเทปเก่าๆหายากแล้ว iUrban เลยนำเอาไอเดียแปลกๆที่เป็นการเปลี่ยนสภาพ cassette tapes ให้กลายมาเป็นของใช้เจ๋งๆมาให้เพื่อนๆดูกันคะ แล้วอย่าลืมนะคะกลับบ้านไปวันนี้ เปิดโต๊ะหรือลองแกะกล่องในห้องเก็บของดูว่าบ้านเรายังมีเจ้า cassette tapes เก่าเก็บเหลืออยู่บ้างไหม



http://www.iurban.in.th/diy/cassette-tapes/

ขอขอบคุณ Modern Life City Magazine http://www.iurban.in.th/

October 30, 2012

ปล่อยปลาอย่างไร ให้มั่นใจว่าได้บุญ โดยกรมประมง

เคยได้ยินบ่อยๆ ว่า อย่านำปลาปล่อยที่ อยู่ในถุง(ก่อนจะนำมาปล่อยลงแม่น้ำ) ปล่อยลงแม่น้ำโดยตรง ควร ให้ปลา ปล่อย ได้ว่ายอยู่ในถังน้ำก่อน เป็นการปรับตัว แล้งจึงนำปลาปล่อยลงสู่แม่น้ำ
(ไม่รู้ ว่า เป็นอย่างนั้น 100% หรือไม่ เวลาที่เราปล่อยปลา อาจจะไม่สามารถหาถังน้ำได้ในขณะนั้น แต่ถ้าไปที่วัดแนวริมแม่น้ำ ชาวบ้านที่นั่น ก็สามารถช่วยนำถังมาให้ใช้ปล่อยปลา..)
และไม่ควรปล่อยปลาลงแม่นำ้ในบริเวณที่มีกระแสน้ำเชี่ยวแรง ..

ได้อ่านเจอ คำแนะนำในการปล่อยปลาจากกรมประมง จึงนำมาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน..
ขออนุโมทนาบุญกุศล ทั้งหลายที่ได้ปล่อยปลา

...กรมประมงวอนผู้ใจบุญที่นิยมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำลงแหล่งน้ำเพื่อความเป้นสิริมงคลของชีวิต ให้เลือกปล่อยสัตว์น้ำและปลาสายพันธุ์ไทย อาทิ ปลาไหล ปลาหมอ เต่า กบ หอยโข่ง ฯลฯ เพื่อเป็นการสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศ

การปล่อยปลาถือเป็นอีกกิจกรรมที่ได้รับความนิยมสำหรับการเสริมดวงชะตาและสะเดาะเคราะห์ แต่ก็มีปลาบางชนิดที่ถูกนำมาปล่อยด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะเป็นปลาสายพันธุ์ต่างถิ่น นั่นก็คือ ปลาซัคเกอร์หรือปลาเทศบาล ที่เรารู้จักกันดี เนื่องจากปลาชนิดนี้ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ แถมยังทำให้เกิดผลกระทบต่อพันธุ์ปลาพื้นเมืองของไทยโดยตรง จนทำให้ปลาพื้นเมืองของไทยบางชนิดอยู่ในเกณฑ์เสี่ยงสูญพันธุ์ ดังนั้นก่อนที่เราจะเลือกปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเราก็ควรศึกษากันให้ดีเสียก่อนว่าเราควรจะเลือกปล่อยสัตว์น้ำชนิดไหน และบริเวณไหนดี เพื่อที่ผู้ใจบุญทั้งหลายจะได้มั่นใจได้ว่าการทำบุญครั้งนี้เราจะได้บุญ... และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำลายระบบนิเวศของประเทศ

ดร.วิมล จันทรโรทัย อธิบดีกรมประมงกล่าวว่า การปล่อยสัตว์น้ำเพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิต เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่คนไทยเรานิยมทำเพื่อสะเดาะเคราะห์ หรือเพื่อสั่งสมบุญกุศลไว้ให้ตัวเอง การทำบุญด้วยการปล่อยสัตว์น้ำโดยทั่วไปจะต้องคำนึงถึงความสมบูรณ์แข็งแรงของปลาและสิ่งแวดล้อมของสถานที่ที่จะนำไปปล่อยด้วย เนื่องจากสัตว์น้ำแต่ละชนิดมีนิสัยความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสรอดของปลาและสัตว์น้ำที่ผู้ใจบุญทั้งหลายนำไปปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติ ทางกรมประมงจึงขอแนะนำวิธีเลือกพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำให้เหมาะสมกับสถานที่จะปล่อยสัตว์น้ำ ดังนี้

 1.ปลาช่อน/ปลาดุก...ควรปล่อยให้ลำคลอง หนอง บึง ที่มีน้ำไหลไม่แรงมาก มีกอหญ้าอยู่ริมตลิ่งบ้าง และน้ำควรเป็นน้ำสะอาด

 2.เต่า...ควรเลือกปล่อยในสถานที่ที่มีตลิ่ง สามารถให้เต่าขึ้นมาผึ่งแดดได้ เนื่องจากเต่าต้องการให้ปลิงที่ติดอยู่ตามตัวนั้นหลุดออก น้ำที่ปล่อยนั้นก็ไม่ควรจะไหลเชี่ยวจนเกินไป

 3.ปลาไหล...ควรปล่อยลงในแม่น้ำ ห้วยหนอง คลองบึง ท้องนา หรือร่องสวน บริเวณที่มีดินเฉอะแฉะ และกระแสน้ำไหลไม่แรงมาก เนื่องจากปลาไหลชอบขุดรูเพื่ออยู่อาศัย

 4.กบ...สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ชอบอยู่ในที่ชื้นแฉะ ดังนั้น ไม่ควรปล่อยลงแม่น้ำ ควรหาที่นา หรือคลองที่เป็นธรรมชาติ มีกอหญ้าหรือไม้น้ำจะดีกว่า เพราะกบก็จะใช้เป็นที่อยู่อาศัย และยังเป็นที่อยู่ของแมลง ซึ่งเป็นอาหารของกบอีกด้วย

 5.ปลาสวาย/ปลาบึก/ปลาตะเพียน...ควรปล่อยลงในแม่น้ำ คลองที่มีระดับน้ำลึกและกระแสน้ำไหลแรง เพราะปลาเหล่านี้เมื่อโตเต็มที่ เป็นปลาที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ดังนั้นจึงต้องใช้พื้นที่กว้างในการดำรงชีวิต

 6.ให้คำนึงถึงคุณภาพของน้ำด้วย โดยก่อนปล่อยสัตว์น้ำ ควรสังเกตสีน้ำในแหล่งที่ปล่อยต้องมีสีไม่ดำ หรือเขียวเข้มจัด เพราะเป็นน้ำที่มีออกซิเจนต่ำ หากปล่อยลงไปจะทำให้สัตว์น้ำอยู่ไม่ได้

 7.การปล่อยสัตว์น้ำต้องพิจารณาถึงคุณภาพของสัตว์น้ำที่ปล่อยด้วย ควรเป็นสัตว์น้ำที่มีสุขภาพดี สมบูรณ์ ไม่เป็นโรค ไม่มีแผลตามลำตัว หากปล่อยสัตว์น้ำที่เป็นโรคลงไปในแหล่งน้ำ จะเป็นการแพร่ขยายเชื้อโรคสู่ธรรมชาติ

 8.เวลาปล่อยสัตว์น้ำควรเป็นเวลาเช้าหรือเย็นที่อากาศไม่ร้อนจัด เพราะหากปล่อยสัตว์น้ำในที่มีแสงแดดจัด อาจทำให้สัตว์น้ำปรับตัวไม่ทัน

การปล่อยปลาหรือสัตว์น้ำเพื่อสร้างบุญกุศล และเสริมดวงชะตาตามความเชื่อนั้น ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องปล่อยที่วัดเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าเราปล่อยสัตว์น้ำบางชนิดที่ไม่สามารถอาศัยอยู่บริเวณหน้าวัด สุดท้ายมันก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ เราควรที่จะเลือกสถานที่ที่เมื่อเราปล่อยสัตว์น้ำเหล่านั้นไปแล้วจะสามารถดำรงชีวิตอยู่บริเวณสถานที่นั้นๆ ได้ ตามที่ได้แนะนำไว้ข้างต้น อธิบดีกรมประมงกล่าว

ทางกรมประมงจึงขอความร่วมมือให้เลิกปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำต่างถิ่นลงแหล่งน้ำธรรมชาติ และให้หันมาปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำสายพันธุ์ไทยแทน นอกจากจะไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมแล้วยังได้บุญอย่างแน่นอน เพราะการปล่อยสัตว์น้ำสายพันธุ์ไทยถือเป็นการช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ด้านประมงให้กับประเทศอีกทางหนึ่งด้วย

ขอขอบคุณ
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1333958882&grpid=09&catid=no

October 26, 2012

เมนูรักษ์หัวใจ


26.10.55 กรุงเทพธุรกิจ 

โรคหัวใจเป็นความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้คืออาหาร เพราะสามารถ “ลด”ความเสี่ยงของโรคได้ โดยไม่ต้องพึ่งยา

แววตา เอกชาวนา นักโภชนาการ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ แนะนำให้ เลือกรับประทานอาหารสุขภาพที่มีคุณค่าต่อหัวใจ เริ่มต้นด้วยการบริโภคผักผลไม้ อย่างน้อยวันละ 200 - 300 กรัมต่อวัน หรือประมาณ 2 กำมือ เท่ากับ2ขีดจะทำได้ใยอาหารที่ดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอล(Cholesterol)ไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride)  สิ่งหนึ่งที่ทำได้ง่ายคือการ “เลือก” รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ
 เหตุผลที่ให้ความสำคัญเรื่องคอเลสเตอรอล เพราะร่างกายสร้าง 70เปอร์เซ็นต์ จึงไม่ควรรับประทานอาหารมัน  แต่หากหลีกเลี่ยง“ไม่ได้”ควรบริโภคผักมาช่วยในการดูดซึมคอเลสเตอรอล  สำหรับคนปกติทั่วไปในแต่ละวันไม่ควรบริโภคคอเลสเตอรอลเกิน 200 มิลลิกรัม แต่ถ้าเป็นโรคหัวใจหรือคอเลสเตอรอลสูงบริโภคได้แค่ 200 มิลลิกรัม 
 
 “จำง่ายๆไข่ไก่ 1 ฟองมีคอเลสเตอรอล 250 มิลลิกรัม ถ้ารับประทานไข่ไปแล้ว 1 ฟองไม่มีสิทธิไปรับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลอีก ไม่ว่าจะเป็นไข่เจียว หนังสัตว์ เครื่องในสัตว์ ฯลฯ “  
 
 ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ  บอกว่า อาหารที่ไม่ควรรับประทานคู่กันก็คือ กะเพราตับไข่ดาว เพราะตับมีคอเลสเตอรอล ไข่ก็มีคอเลสเตอรอล หากรับประทานต้องตัดไข่แดงออกนี่คือวิธีป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจ ด้วยการ “ขจัด” อาหารที่มีคอเลสเตอรอลแล้วหันไปบริโภคผักผลไม้ 
 นอกจากนี้สิ่งต้องระมัดระวังคือ ความเค็ม เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ  เบาหวาน ความดัน ฯลฯ  ในแต่ละวันไม่ควรบริโภคเกลือเกิน 2,400 มิลลิกรัม  ซึ่งหากลองดูข้างซองขนมขบเคี้ยว เช่น มันฝรั่งหนึ่งถุงจะมีเกลือ 1,100มิลลิกรัมเกือบเท่ากับที่กำหนดไว้ว่า สามารถบริโภคได้ในหนึ่งวัน  วิธีป้องกันไม่ให้บริโภคอาหารที่มีรสเค็ม ง่ายๆคือ ไม่ปรุงรสอาหารเพิ่ม พยายามรับประทานอาหารรสชาติธรรมดาๆ 
 “แนะนำให้หลีกเลี่ยงน้ำปลาพริก เพราะจะเพิ่มปริมาณโซเดียมมากขึ้น ยิ่งถ้าความดันโลหิตสูงเท่าไรจะยิ่งทำให้มีความเสี่ยงที่เกิดโรคหัวใจมากขึ้น” 
   
 ส่วนการบริโภคเนื้อสัตว์นั้น “ไม่จำเป็น” ต้องกินปลาเพียงอย่างเดียว  เพราะเนื้อสัตว์แต่ละชนิด ไม่ว่าจะเป็นเนื้อแดงหรือเนื้อขาว แต่ละชนิดก็มีประโยชน์ต่างกัน  ยกตัวอย่างเนื้อสัตว์สีแดง เช่น หมูหรือเนื้อ มีธาตุเหล็ก ซึ่งมีประโยชน์ต่อหัวใจเหมือนกัน เพียงแต่ต้องดูก่อนว่า ชิ้นส่วนนั้นไม่ว่าจะเป็นของหมู หรือเนื้อ ถ้าเป็นสันในสันนอกที่ไม่ติดมันรับประทานได้  
 
 และบางครั้งก็ต้องดูกรรมวิธีในการปรุงด้วยเช่นกัน เพราะถ้านำหมูสันนอกไปชุปแป้งทอดน้ำมันปาล์ม ต้องระวัง เรื่องไขมัน ที่มาจากน้ำมันปาล์ม  แม้ว่าจะทำให้อาหารอร่อย กรอบหอม ไม่เหม็นหืนง่าย แต่มีโทษต่อร่างกาย เพราะจะทำให้ร่างกายสร้างคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีมากขึ้น   หากบริโภคมากจะทำให้ได้รับไขมันอิ่มตัวเพิ่มขึ้น
 สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ต้องระมัดระวังปริมาณคอเลสเตอรอลในหนึ่งวันต้องไม่เกิน 200  มิลลิกรัม
 ฉะนั้น บริโภคไข่ไม่เกิน2-3 ฟองต่อสัปดาห์หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ติดหนัง ติดมัน  หากรับประทานอาหารนอกบ้านควรเลือกเมนูอาหารที่มีไขมันน้อย เช่น แกงจืด เกาเหลาลูกชิ้นปลา ปลานึ่งมะนาว แกงส้มแกงเลียง แกงป่า ผัดผักต่างๆ ยำมะเขือยาว เป็นต้น 
  
 “แม้ว่าเราจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการบริโภค คอเลสเตอรอลได้100เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อย 1 มื้อที่รับประทานอาหารนอกบ้านควรบริโภคผักผลไม้ให้มากที่สุด ส่วนมื้ออาหารที่บ้านควรใช้น้ำมัน ถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว น้ำมันเมล็ดทานตะวันแทนที่จะเป็นน้ำมันปาล์ม” นักโภชนาการ กล่าวทิ้งท้าย
แซนวิชม้วน ปลาแซลมอน
ส่วนผสม 
ขนมปังโฮลวีท  10  แผ่น
ปลาแซลมอน  200  กรัม
อโวคาโด้          100  กรัม
กรีนโอ๊ค         100  กรัม
มัสตาร์ด        50  กรัม 
แตงกวา          50  กรัม
หอมหัวใหญ่    50  กรัม
วิธีทำ
ทามัสตาร์ดลงบนขนมปังโฮลวีท วางปลาแซลมอนที่หั่นเป็นชิ้นลง จากนั้นวางหอมใหญ่ อโวคาโด้ กรีนโอ๊ค  และแตงกวาที่หั่นลงแล้วจับม้วนๆ กดให้แน่น ใช้ไม้จิ้มฟันเสียบ
////////////////////
แกงส้มผักรวม
ส่วนผสม
เครื่องน้ำพริกแกงส้มผักรวม
พริกแห้ง                 25  กรัม 
กระชาย                  2   ช้อนโต๊ะ
เกลือ                      2   ช้อนชา 
หอม                      25  กรัม 
กะปิ                       2   ช้อนชา
เครื่องปรุงน้ำ                          6   ถ้วยตวง 
แตงโมอ่อน             500  กรัม
ถั่วฝักยาว               250  กรัม 
ปลาช่อน                700  กรัม
กะหล่ำปลี              300  กรัม
ปรุงรส
น้ำมะขามเปียก       3/4  ถ้วยตวง 
น้ำตาล                      3  ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา                   1/3  ถ้วยตวง
 วิธีทำ
 1. โขลกส่วนผสมของน้ำพริกให้ละเอียด ส่วนกระชายถ้าชอบกลิ่นก็ใส่ ไม่ชอบก็ไม่ต้องใส่
 2. ขอดเกล็ดปลาช่อนล้างน้ำให้สะอาด ตัดส่วนหาง  ต้มกับน้ำเดือดที่เหลือตัดเป็นท่อนไว้ใส่ในแกง
 3. ตั้งน้ำพอเดือดใส่ส่วนหางที่แบ่งไว้ต้มให้เปื่อยแกะก้างออกโขลกเนื้อกับน้ำพริกให้เข้ากัน น้ำพริกละลายในน้ำเดือดใส่ผักที่สุกยากก่อน ใส่น้ำปลา น้ำมะขามน้ำตาล ปรุงรส ใส่ผักที่เหลือตั้งให้เดือดอีกครั้งใส่เนื้อปลา ชิมรสเปรี้ยว หวาน เค็ม สุก ยกลง
ขอขอบคุณ 

ใช้ Google Webmaster ดูแลเวบบล็อก |Blogger


การใช้งาน Google webmaster Tools มาใช้งานในการวิเคราะห์และปรับปรุงเวบบล็อกใน blogger   มาแชร์ผ่าน อัปสราออนไลน์ ค่ะใช้ Google webmaster ดูแลเวบบล็อก
เพราะบริการ Google webmaster จาก Google ให้บริการวิเคราะห์สุขภาพของเวบไซต์ เช่น ส่ง sitemap วิเคราะห์  external link,keyword,internal link ในเวบบล็อก   เผื่อความรู้นี้จะมีประโยชน์กับเพื่อนท่านใดที่นิยมชมชอบการเขียนบทความในเวบบล็อกและอยากปรับแต่งเวบบล็อกของตน   อย่างดิฉันค่ะ
ขั้นตอนการเพิ่มเวบบล็อก blogger  ใน Google webmaster
webmaster
                                            รูปที่ 1 แสดงการเพิ่ม add site ใน  Google webmaster

ขั้นตอนที่ 1  Login  เข้า  Google webmaster ด้วย Google account  หรือ account ของ Gmail   คลิ๊กที่  Add site ดังรูปด้านบน
blogger

                                              รูปที่ 2 เพิ่ม url ลงใน Google webmaster

ขั้นตอนที่ 2  จะปรากฏหน้าต่างสำหรับให้ Addsite พิมพ์ url ลงในช่องว่างแล้วคลิ๊ก Continue
webmaster
                                            รูปที่ 3  copy meta tag วางใน เวบบล็อก ของ blogger
ขั้นตอนที่ 3  เลือกประเภทของการ verify เวบบล็อกด้วยการวาง meta tag ใน เวบบล็อก โดยวางไว้ในส่วน <head> ก่อนส่วนของ <body>  อย่าพึ่งคลิีก Verify นะคะ
image
                               รูปที่ 4 แสดงการนำ code จาก  Google webmaster วางใน blogger
มีขั้นตอนในการนำ meta tag ไปวางโดยเริ่มจาก Login ใน blogger เข้า แดชบอร์ด >แม่แบบ>แก้ไข html> ต่อจากนั้น คลิ๊ก crtl+f เพื่อหาโค้ด <head> เมื่อเจอแล้วให้วาง meta tag ไว้ต่อจาก <head> ได้เลยค่ะ  เสร็จแล้วเลือกบันทึก
image
                          รูปที่ 5  แสดงผลการวิเคราะห์เวบไซต์โดย Google webmaster Tools
ขั้นตอนที่ 5 กลับไปที่หน้าเวบ webmaster central ของ Google ดังรูปที่ 3  คลิีก Verify   แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการ ยืนยัน Verify เวบบล็อกจาก blogger เสร็จเรียบร้อย  รอไม่นานนัก  ก็เข้าไปตรวจสอบคุณภาพของ blogger  ของเราได้ค่ะ

ขอขอบคุณ
http://www.aphsara.net/2012/04/google-webmaster-blogger.html

อ่านหนังสือฟรี

อ่านหนังสือฟรี


http://www.ebooks.in.th/free-ebooks.html?page=5

October 23, 2012

กล้วยน้ำว้า สมุนไพรรักษาโรคกระเพาะอาหาร


กล้วยน้ำว้า สมุนไพรรักษาโรคกระเพาะอาหาร


      กล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่ใกล้ชิดคนไทยที่สุด เด็กไทยสมัยก่อนโตมากับกล้วยน้ำว้ากันทั้งนั้น นอกจาก ข้าวสุกบดแล้ว ก็มีกล้วยน้ำว้าเป็นเหมือนอาหารเสริมประจำที่ไม่ต้องซื้อหาเพราะทุกครัวเรือนมีกล้วยปลูกไว้สำหรับเป็นผลไม้ เป็นอาหารและสารพัดขนมกินกันได้ตลอดทั้งปี

           กล้วยน้ำว้าใช้ทำยาได้ทั้งดิบและสุก กล้วยดิบมีสารฝาดสมานชื่อแทนนิน ซึ่งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ช่วยป้องกันผนังกระเพาะลำไส้ไม่ให้เชื้อโรคและของรสเผ็ดจัด เช่น พริก เข้าไปทำลายผนังกระเพาะลำไส้ ช่วยแก้ท้องเสีย กล้วยที่เพิ่งเริ่มสุก เปลือกยังสีเขียวอยู่ประปราย เป็นทั้งยาและอาหารที่ดีมากสำหรับคนท้องเสีย เพราะนอกจากจะช่วยแก้ท้องเสียแล้วยังช่วยหล่อลื่นลำไส้ ช่วยเพิ่มกากเวลาถ่าย กล้วยกึ่งดิบกึ่งสุกยังมีธาตุโพแทสเซียมสูงมาก ดังนั้นเวลาใช้กล้วย แก้ท้องเสีย ก็เท่ากับให้ธาตุโพแทสเซียมไปในตัวด้วย ตามธรรมดาคนไข้มักสูญเสียธาตุโพแทสเซียมในเวลาท้องร่วง การกล้วยห่ามจึงเป็นการชดเชยธาตุโพแทสเซียมที่เสียไป เพราะถ้าร่างกายสูญเสียธาตุโพแทสเซียมไปมากๆ ขณะท้องร่วง จะทำให้การเต้นของหัวใจผิดปกติในคนชราอาจทำให้หัวใจวายตายได้ ยิ่งไปกว่านั้นกล้วยที่เริ่มสุกจะมีสารเซโรโทนินอยู่มาก ช่วยออกฤทธิ์ กระตุ้นให้ผนังกระเพาะอาหารสร้างเยื่อเมือกมากขึ้น ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหาร แต่ไม่ช่วยลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร

        วิธีการกินกล้วยเป็นยาก็ไม่ใช่เรื่องกล้วยๆเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อกินเป็นยาแก้โรคกระเพาะ ควรนำกล้วยดิบมาฝานเป็นแว่นบางๆ แล้วอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส ห้ามใช้ความร้อนสูงกว่านี้เด็ดขาด เพราะสารในกล้วยมีฤทธิ์รักษาโรคกระเพาะนั้นจะสูญเสียไปหรือหมดฤทธิ์ไปเลยก็ได้ ถ้าโดนความร้อนสูงมากเกินไป กล้วยดิบที่ผ่านการอบอุณหภูมิต่ำแล้ว ให้นำมาบดเป็นผง กินครั้งละ 1 ช้อนชา จะผสมกับน้ำผึ้งหรือไม่ก็ได้ กิน 3 ครั้งก่อนอาหาร กล้วยดิบๆมีฤทธิ์ทั้งป้องกันและรักษาโรคกระเพาะ ส่วนยาแผนปัจจุบันทุกขนานที่ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารนั้นมีฤทธิ์เพียงป้องกันแต่ไม่ช่วบรักษา กล้วยจึงเป็นยารักษาโรคกระเพาะที่มีราคาถูกที่สุด และหาง่ายที่สุด

        ส่วยกล้วยน้ำว้าสุกนั้นกลับมีสรรพคุณ ตรงกันข้ามกับกล้วยดิบ คือกล้วยสุกกลับเป็นยาระบายแก้ท้องผูก เพราะมีสาร เพ็กติน อยู่มาก ช่วยเพิ่มกากในลำไส้ กล้วยที่สุกงอมมากๆจะมีฤทธิ์ระบายสูง เพราะมีสารเพ็กติน มากขึ้นนั่นเอง ฤทธิ์ระบายของกล้วยน้ำว้าสุกไม่รุนแรงมากต้องกินเป็นประจำวันละ 5-6 ลูก จึงจะเห็นผล อุจจาระที่ออกมาเป็นสีเหลือง ไม่มีกลิ่นเหม็น การกินกล้วยสุกก็ต้องเคี้ยวให้ละเอียด นานๆ เพราะกล้วยเป็นผลไม้ที่มีแป้งอยู่ถึง 20 -25 % ของเนื้อกล้วย จึงสามารถนำมาเป็นอาหารเสริมให้เด็กเล็กได้ ตามปกติ กระเพาะมีเอนไซม์ย่อยแป้งน้อย การเคี้ยวกล้วยให้แหลกละเอียดจะช่วยแป้งได้มากก่อนกลืนลงกระเพาะ หากกินกล้วยโดยเคี้ยวหยาบๆ จะทำให้ท้องอืด จุกแน่น โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ควรเริ่มให้กินกล้วยสุกเมื่อเด็กเริ่มกินข้าวบดได้ อายุราว 3 เดือน โดยขูดเนื้อกล้วยสุก ( ไม่เอาไส้กล้วยเพราะจะทำให้เด็กท้องผูก ) ให้กินคราวละน้อยๆ ไม่ควรเกินครึ่งช้อนชา วันละครั้ง เพราะเด็กยังมีน้ำย่อยแป้งไม่พออาจเกิดอาการท้องอืดได้ เด็กอายุครบขวบกินกล้วยครั้งละ 1 ลูก วันละครั้งก็พอ

        นอกจากนี้ เด็กที่มีผิวหนังเป็นตุ่มคันจากยุงกัด มดกัด หรือเป็นผื่นคันเนื่องจากลมพิษ สามารถใช้เปลือกกล้วยน้ำว้าสุกด้านใน ทาถูบริเวณนั้นสักครึ่งนาที รับรองว่าอาการคันจะหายเป็นปลิดทิ้ง

        นี่เป็นเคล็ดลับภูมิปัญญาไทยที่ใช้กล้วยน้ำว้าเป็นยาสามัญประจำครัวเรือน กล้วยน้ำว้ามีประโยชน์มากมายมหาศาล นอกจากกล้วยที่เป็นผลไม้ อาหาร และสารพัดขนม ใบตองกล้วยยังใช้ทำกระทงใส่ข้าว ของคาว ของหวานแทนถ้วยชาม กาบกล้วยใช้ทำเชือก ซึ่งไม่เคยก่อปัญหาภาวะต่อสิ่งแวดล้อม คนไทยในยุคน้ำมันแพง น่าจะหันกลับมาสร้างค่านิยมปอกกล้วยเข้าปาก เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีในราคาประหยัด สุดคุ้มเหมือนในยุคปู่ย่า ตายายของเรา

  

ที่มา:: วรางคณา เตียงพิทักษ์


สูตรน้ำสมุนไพรล้างไขมันในเลือดที่มีมากเกินไป

สูตรน้ำสมุนไพรล้างไขมันในเลือดที่มีมากเกินไป

กระเจี๊ยบ+พุทราจีน

คือ การนำเอากระเจี๊ยบแดงแห้งหรือสดก็ได้ มาต้มรวมกับพุทราแห้ง เป็นพุทราจีน หรือพุทราป่า (พุทราไทย) ก็ได้ เพื่อทำเครื่องดื่ม


ประโยชน์

    ช่วยล้างไขมันในเลือดที่มีมากเกินไป เมื่อไขมันถูกล้างออกมาเรื่อยๆ โดยการกินน้ำกระเจี๊ยบ+พุทราจีนผนังหลอดเลือดก็จะยืดหยุ่นบีบตัวและขยายตัว เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดสะดวกขึ้น บีบตัวและขยายตัว ตามจังหวะการเต้นของหัวใจให้สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยไม่มีไขมันมาขัดขวางพวกเส้นเลือดขอดก็จะพอทุเลาลงได้ แล้วยังข่วยให้เส้นเลือดแข็งแรง ไม่เปราะ

    -ไม่ควรต้มกระเจี๊ยบกินเดี่ยวๆ เป็นเวลานานๆ เพราะจะทำให้ไตเสื่อม จึงต้องมีพุทราจีน

    ตากแห้งผสมลงไปเป็นตัวแก้และยังช่วยบำรุงไตไปพร้อมกัน

    -ไม่เติมน้ำตาลหรือเติมก็ได้ไม่ควรเติมน้ำตาลให้หวานเกินไป

วิธีทำ

    เตรียมกระเจี๊ยบ 1 กำมือ

    เตรียมพุทราจีน1 กำมือ

    ล้างน้ำให้สะอาดบีบพุทราจีนให้แตก ใส่รวมกันลงภาชนะเติมน้ำเปล่า 2 ลิตร ต้มให้เดือดสักพักหนึ่งแล้วยกลง เทกรองเนื้อออกให้เหลือแต่น้ำ เติมน้ำตาลแล้วชิม ถ้าไม่เติมน้ำตาล ใช้ใบหญ้าหวาน หรือลำไยตากแห้ง แทนน้ำตาลจะได้ความหวานจากธรรมชาติที่ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ทำเก็บใส่ขวดแช่เย็นเอาไว้ดื่มได้หลายวัน

มาดูสรรพคุณของ กระเจียบ



สรรพคุณ


1. เป็นยาลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดน้ำหนักด้วย

2. ลดความดันโลหิตได้โดยไม่มีผลข้างเคียง

3. น้ำกระเจี๊ยบทำให้ความเหนียวข้นของเลือดลดลง

4. ช่วยรักษาโรคเส้นโลหิตแข็งเปราะได้ดี

5. มีฤทธิ์ขับปัสสาวะเป็นการช่วยลดความดัน อีกทางหนึ่ง

6. ช่วยย่อยอาหารเพราะไม่เพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร

7. เพิ่มการหลั่งน้ำดีจากตับ

8. เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่นเพราะมีกรดซิตริคอยู่

9. มีสารแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง

กระเจี้ยบมีสรรพคุณแก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ดีพิการ แก้ปัสสาวะพิการ แก้คอแห้งกระหายน้ำ แก้ความดันโลหิตสูง กัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำไส้ บำรุงโลหิต ลดอุณหภูมิในร่างกาย แก้โรคเบาหวาน แก้เส้นเลือดตีบตัน

นอกจากนี้ ยังเป็นส่วนผสมในตำรับยาที่ใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่นเป็นยาถ่ายพยาธิตัวจี๊ด

วิธีและปริมาณที่ใช้ : นำเอากลีบเลี้ยงหรือกลีบรองดอกสีม่วงแดง ตากแห้งและบดเป็นผง ใช้ครั้งละ 1 ช้อนชา (หนัก 3 กรัม) ชงกับน้ำจืด 1 ถ้วย (250 มิลลิลิตร) ดื่มเฉพาะน้ำสีแดงใส ดื่มวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันทุกวันจนกว่าอาการขับเบาและอาการอื่นๆ จะหายไป

สารอาหารที่มีประโยชน์

Protocatechuic acid. Hibiscetin, hibicin, organic acid, malvin, gossympetin.


คุณค่าทางโภชนาการ

น้ำกระเจี๊ยบแดงมีรสเปรี้ยวนำมาต้มกับน้ำเติมน้ำตาลและเกลือเล็กน้อย ดื่มแก้ร้อนในกระหายน้ำ และช่วยป้องกันการจับตัวของไขมันในเส้นเลือดได้ นอกจากนี้สีแดงเข้มที่ได้จากสาร Anthocyanin ยังนำไปแต่งสีอาหารตามต้องการได้อีกด้วย

ที่มา สุนทรี สิงหบุตรา. 2545. รอบรู้เรื่องสมุนไพร. เกษตรชีวภาพ. 2(23) : หน้า 41

มาดูสรรพคุณของพุทราจีน



พุทราเป็นผลไม้ที่มี วิตามิน A และ c ในปริมาณมาก ซึ่งส่งผลต่อการบำรุงสายตาและผิวให้สุขภาพดีไม่เป็นโรคเกี่ยวกับผิวพรรณและ สายตา ตาไม่ฟาง และไม่บอดกลางคืน

-   เปลือกของพุทราเป็นยาแก้อาการท้องเสียอย่างดี ด้วยเพราะสารแทนนินซึ่งออกรสฝาดในเปลือกพุทรานั่นเอง

-   เมล็ดพุทราก็มีประโยชน์มากเช่นกัน เพราะนำมาป่นรักษาอาการชักในเด็กได้อีกทั้งยังลดไข้แก้หวัดในเด็กด้วย

-  ใบของพุทราก็มีคุณสมบัติในการลดพิษแมลงสัตว์กัดต่อยและผื่นคันต่างๆ ได้อีกด้วย สรรพคุณมีตั้งแต่รากจรดปลายจริงๆ มีพุทราไว้ในบ้านสักต้นรับรองคุ้มจริงๆ

นอกจากนี้พุทราจีน มี สรรพคุณเป็นยาบำรุงเลือด บำรุงกำลังที่ดี และใช้ผสมกับยาสมุนไพร บำรุงส่วนอื่นๆอีก นอกจากนี้ยังสามารถลดคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง เสนเลือดเเข็งตัว เส้นเลือดหัวใจตีบตัน และเส้นเลือดในสมองแตก ทั้งยังเป็นยาบำรุงประสาทแก้โรคนอนไม่หลับด้วย

ขอขอบคุณ
http://www.chomrom.com/topic.php?q_id=14890

October 22, 2012

ความดันเลือดสูง กินอะไร คลายโรค



ความดันเลือดสูง กินอะไร คลายโรค

รศ.ดร.สุธาทิพ  ภมรประวัติ  กลุ่มวิชาเภสัชโภชนศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

http://www.doctor.or.th/article/detail/1116

โรคความดันเลือดสูง หรือโรคแรงดันเลือดสูง ภาษาอังกฤษเรียก Hypertension ก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างสูงต่อการเกิดอาการหัวใจวาย หรือหลอดเลือดสมองแตก ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการผิดปกติ แม้ความดันเลือดจะสูงมากๆ ก็ตาม บ้างทราบว่าตัวเองมีความดันเลือดสูงแต่ก็ละเลยไม่สนใจรักษาเพราะรู้สึกปกติ สบายดี ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่างๆ ตามมาภายหลัง

ผู้ป่วยส่วนน้อยที่มีอาการปวดศีรษะ มึนศีรษะ จะทราบได้ว่าเป็นโรคนี้หรือไม่ ทำได้โดยการวัดความดันเลือดเท่านั้น ประชาชนทุกคนสามารถตรวจวัดความดันเลือดได้ตามสถานบริการสาธารณสุขต่างๆ
     
ความดันเลือดคืออะไร
ค่าความดันเลือดมี ๒ ค่า เรียกว่า "ตัวบน" และ "ตัวล่าง"
ค่าตัวบนเป็นความดันเลือดในหลอดเลือดที่เกิดขึ้นขณะที่หัวใจบีบตัวไล่เลือดออกจากหัวใจ
ค่าตัวล่างคือความดันของเลือดที่ยังค้างอยู่ในหลอดเลือดขณะที่หัวใจคลายตัว
ปัจจุบันความดันเลือดที่เรียกว่า "เหมาะสม" ของผู้ที่อายุมากกว่า ๑๘ ปีคือ ตัวบนไม่เกิน ๑๒๐ มม. ปรอท และตัวล่างไม่เกิน ๘๐ มม.ปรอท
จะเรียกได้ว่ามีความดันเลือดสูงเมื่อความดันเลือดตัวบนมากกว่า (หรือเท่ากับ) ๑๔๐ และตัวล่างมากกว่า (หรือเท่ากับ) ๙๐ มม.ปรอท ค่าระหว่างนี้เป็น กลุ่มก้ำกึ่ง (borderline-to moderate range)
ถ้าใครสงสัยว่าตัวเองมีโรคนี้หรือไม่ให้ไปพบแพทย์ตรวจวินิจฉัยให้
ถ้าอายุเกิน ๔๐ แล้วก็ควรไปตรวจร่างกายปีละครั้ง เพราะคุณอาจมีความดันเลือดสูงหรืออยู่ในเกณฑ์ก้ำกึ่งโดยไม่มีอาการก็ได้
ถ้าทราบผลการตรวจวัดความดันเลือดแล้ว ตัวคุณและแพทย์จะได้ช่วยกันหาหนทางดูแลสุขภาพของคุณได้ถูกต้อง
     
ความดันเลือดสูงเกิดจากอะไร และมีอาการอย่างไร
ความดันเลือดสูงส่วนใหญ่เป็นโรคที่ไม่มีสาเหตุเฉพาะ มีหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้องทั้งพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม เช่น อาหารรสเค็ม เชื้อชาติ วิถีชีวิต ความ เครียด ส่วนน้อยเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือด ไตวาย หรือเนื้องอกบางชนิด
     
ทำไมต้องตรวจวัดความดันเลือด
คนที่มีความดันเลือดสูงอยู่เป็นระยะเวลานานจะเกิดการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดแดง โดยเฉพาะหลอดเลือดเลี้ยงสมอง ตา หัวใจ และไต เป็นเหตุให้หลอดเลือดสมองตีบตันหรือแตก เกิดเป็นอัมพาตช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ นอกจากนี้ อาจเกิดโรคหัวใจขาดเลือด หรือไตวายเรื้อรังได้

ความดันเลือดสูงมีผลทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ในที่สุดจะเกิดหัวใจโต กล้ามเนื้อหัวใจหนา อาจเกิดภาวะ หัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวายตามมา โรคความดันเลือดสูงจึงได้ชื่อว่าเป็นฆาตกรเงียบ เพราะก่อความเสียหายได้มากทั้งกับหลอดเลือดและอวัยวะอื่นๆ โดยไม่แสดงอาการ กว่าจะแสดงอาการร่างกายก็ได้รับความเสียหายไปมากแล้วเกินกว่าจะบำบัดให้กลับคืนสภาพปกติได้

การละเลยไม่สนใจตรวจร่างกายของประชากรวัยกลางคน เพราะเห็นว่าร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่มีโทษต่อตนเองโรคความดันเลือดสูงนี้ถ้าทราบแต่เนิ่นๆ  ผู้ป่วยจะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและชะลอความรุนแรงของโรค การควบคุมความดันเลือดสามารถป้องกันการเกิดผลแทรกซ้อนอย่างใหญ่หลวงอื่นๆ ที่จะตามมาได้ การรักษาความดันเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติอยู่เสมอจะช่วยลดโอกาสเกิดโรคแทรกทางสมอง หัวใจ ไต และหลอดเลือดในอนาคตได้

ปัจจุบันคนไทยมีอายุยืนยาวขึ้น การเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อก็มียาดีจัดการได้เกือบทุกโรค แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่เจ็บป่วยเรื้อรังในวัยสูงอายุ  เนื่องจากขาดการดูแลสุขภาพที่ถูกต้องในวัยทำงาน การดูแลหรือป้องกันความดันเลือดสูงในวันนี้จะลดโอกาสเกิดผลแทรกซ้อนร้ายแรงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อคุณภาพชีวิตในช่วงหลังของเรานั่นเอง
     
การดูแลผู้มีความดันเลือดสูง
การรักษาแบ่งเป็น  ๒ ส่วนคือ การใช้ยา (ดูแลโดยแพทย์) อีกส่วนคือไม่ใช้ยา (ดูแลโดยตัวผู้ป่วยและบุคคลรอบตัว)
การไม่ใช้ยาทำได้โดยการลดน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้แจ่มใส ลดความเครียด งดบุหรี่ ลดการบริโภคน้ำตาลขัดขาว อาหารไขมันสูง กาแฟและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพิ่มปริมาณโพแทสเซียมและเส้นใยพืชในอาหาร กินอาหารหลากชนิดให้ได้แร่ธาตุและวิตามินครบ หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม จะช่วยให้ควบคุมความดันเลือดได้ดี

ผู้ป่วยที่มีความดันเลือดสูงเล็กน้อยหรือกลุ่มก้ำกึ่ง อาจเริ่มการรักษาโดยไม่ใช้ยา แต่หากมีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจอยู่ด้วยก็อาจจำเป็นต้องใช้ยาร่วมด้วย  ทั้งนี้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์

การดูแลผู้ป่วยกลุ่มก้ำกึ่ง
สหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยความดันเลือดสูงร้อยละ ๘๐ เป็นกลุ่มก้ำกึ่ง ผู้ป่วยกลุ่มนี้สามารถดูแลตนเองได้ดีภายใต้คำแนะนำของแพทย์โดยการปรับวิถีชีวิตและอาหาร งานวิจัยจากตะวันตกพบว่า การออกกำลังกาย  การบำบัดจิตใจให้ผ่อนคลาย และปรับอาหารของกลุ่มความดันเลือดสูงแบบก้ำกึ่งให้ผลระยะยาวดีกว่ากลุ่มเดียวกันที่บำบัดอาการโดยการใช้ยา

อาหารที่ผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มควรกิน ได้แก่ ผักขึ้นฉ่าย (celery) กระเทียม หอมหัวใหญ่ กล้วย ถั่วต่างๆ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน และธัญพืชที่เป็นเมล็ด ปลาทะเลจากน่านน้ำเย็น ผักใบเขียว บร็อกโคลี่ ส้มต่างๆ  ฝรั่ง และอาหารที่มีวิตามินซีสูง

ผักขึ้นฉ่ายมีสาร 3-เอ็น-บิวทิล ฟทาไลด์ (3-n-butyl phthalide) มีฤทธิ์ลดความดันเลือด และลดปริมาณ    คอเลสเตอรอลด้วย ถ้ากินวันละ ๖ ช้อนโต๊ะพูนทุกวันพร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอื่นก็จะเห็นผลลดความดันเลือด (ขึ้นฉ่ายฝรั่งก้านโต ๔ ก้านต่อวัน)

กระเทียมและหอมหัวใหญ่มีผลทั้งลดความดันและคอเลสเตอรอล ให้กินเพิ่มเติมในอาหาร ถ้ากินกระเทียมเม็ดหรือแคปซูลให้กิน ๔,๐๐๐ ไมโครกรัม     อัลลิซินต่อวัน
กล้วยเป็นผลไม้มีราคาถูก หาได้ง่าย กินได้ทุกวัย แถมช่วยเรื่องขับถ่ายด้วย  เป็นผลไม้ที่มีเส้นใยและมีโพแทสเซียมสูง

โพแทสเซียมทำหน้าที่ดูแลสมดุลของน้ำและการส่งน้ำไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ดูแลสมดุลความดันเลือด สมดุลกรด-ด่าง  การทำงานของหัวใจ กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท ไต และต่อมหมวกไต โพแทสเซียมพบได้ทั่วไปในพืชผักต่างๆ ที่มีมากได้แก่ กล้วย ส้มต่างๆ แอปพริคอต ลูกไหน ลูกพรุน ลูกท้อ ลูกเกด  สตรอเบอร์รี่
แตงกวา มะเขือเทศ กะหล่ำปลี มะเขือยาว ขมิ้นชัน ผักขม บร็อกโคลี่ มันฝรั่งทั้งเปลือก ปลาทูน่า เมล็ดฟักทองและเมล็ดทานตะวัน  บุคคลทั่วไปต้องการโพแทสเซียมวันละ ๒,๐๐๐ มก. แต่ผู้ที่มีความดันเลือดสูงต้องการถึง ๓,๕๐๐ มก. ต่อวัน ลองกินกล้วยสองผลให้โพแทสเซียม ๙๓๔ มก.  เติมลูกพรุนครึ่งถ้วย ๗๒๑ มก. ลูกเกดครึ่งถ้วย ๕๙๘ มก. น้ำส้ม ๑ ถ้วย ๓๕๔ มก. มันฝรั่งอบทั้งเปลือก ๗๒๑ มก. และมะเขือเทศ ๑ ผล ๒๗๓ มก. ได้เกิน ๓,๕๐๐ มก.

คนที่กินอาหารฟาสต์ฟู้ดจะกินผักและผลไม้น้อย ทำให้ได้รับโพแทสเซียมน้อย แถมยังได้รับเกลือโซเดียมสูง ทั้งจากกะปิ น้ำปลา เกลือ ผงฟู (จากขนมปังและขนม อบ) ซีอิ๊วขาว เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ ผักดอง อาหารหมัก ดอง แฮม เบคอน ไส้กรอกทุกชนิด เนื้อเค็ม ขนมกรุบกรอบ บะหมี่สำเร็จรูป ก๋วยเตี๋ยวน้ำและน้ำซุปทั้งหลาย
ที่สหรัฐอเมริกาประมาณว่าประชากรได้รับโซเดียม ตามสัดส่วนดังนี้คือ ๔๕, ๔๕, ๕ และ ๕ นั่นคือ


ร้อยละ ๔๕ จากอาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น อาหารพร้อมอุ่น อาหารกระป๋อง อาหารซองฉีกเติมเนื้อสัตว์กินได้  น้ำสลัด เป็นต้น
ร้อยละ ๔๕ จากการปรุงอาหารที่บ้านหรือร้านอาหาร
ร้อยละ ๕ จากการเติมเกลือเพื่อปรุงรสก่อนกิน (เหมือนที่คนไทยเติมน้ำปลาพริก)
ร้อยละ ๕ เท่านั้นที่มาจากตัวอาหารเอง (จากผักและผลไม้)

ดังนั้น แพทย์มักจะบอกให้คนที่มีความดันเลือดสูง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าความดันเลือดตัวล่าง) ปรุงอาหาร เอง และนำอาหารจากบ้านไปกินที่ทำงาน  การศึกษาในผู้ป่วยพบว่า การกินอาหารที่มีโซเดียมสูงและโพแทสเซียมต่ำอยู่เสมอมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและมะเร็ง นอกจากนี้ยังพบว่าอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงและโซเดียมต่ำจะป้องกันการเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและมะเร็ง และบำบัดอาการความดันเลือดสูงด้วย  การลดโซเดียมแต่ขาดโพแทสเซียมก็ยังเป็นการเสียสมดุลโซเดียม/โพแทสเซียมอยู่ดี   คนที่มีความดันเลือดสูงแบบก้ำกึ่งจึงต้องกินอาหาร ที่มีโพแทสเซียมเพิ่มตามคำแนะนำข้างต้น
     
สูตรอาหารลดความดัน
รายงานจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกล่าวว่า อาหาร ที่มีส่วนประกอบของพืชมากลดความดันเลือดได้ นอก จากนี้ ยังลดคอเลสเตอรอล ควบคุมสภาวะเบาหวาน และลดน้ำหนักได้ในกลุ่มคนที่มีน้ำหนักเกิน ผู้ที่มีความดันเลือดสูงเมื่อกินอาหารสูตรนี้พบว่า ๒ สัปดาห์มีการเปลี่ยนแปลงของความดันเลือด คณะวิจัยเชื่อว่าการกินอาหารที่เพิ่มแร่ธาตุโพแทสเซียม แมกนีเซียม และแคลเซียม ลดความดันเลือด

นอกจากนี้ การกินอาหารลดความดัน (DASH หรือ Dietary Approaches to Stop Hypertension) ยังขับปัสสาวะและขับเกลือออกอีกด้วย ปัจจุบันสูตรนี้เป็นสูตรอาหารแนะนำของสมาคมโรคหัวใจ และหน่วยวิจัยปอด หัวใจ และหลอดเลือดของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา คนที่มีความดันเลือดสูงถ้ากินสูตรอาหารลดความดันนี้จะเห็นผลชัดเจนสำหรับการลดความดันเลือด สำหรับคนที่มีความดันเลือดแบบก้ำกึ่งจะได้ผลการลดความดันแบบค่อยเป็นค่อยไป

บางคนอาจจะบอกว่าให้กินน้อยจังแล้วจะอยู่ ได้อย่างไร
จริงอยู่การกินอาหารปริมาณน้อยแต่สามารถดำรงตนอยู่ได้แน่นอน  พระที่ท่านเข้ากรรมฐานฉันมื้อละ ๑๐ คำท่านยังดำรงชีพได้เลยค่ะ แต่ท่านจะไม่อ้วนและปลอดโรคด้วย ทุกคนสามารถเลือกคุณภาพของอาหารได้โดยไปเพิ่มรสชาติอาหารด้วยสมุนไพรหรือเครื่องเทศแทนเกลือดีกว่า

นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ผู้ป่วยออกกำลังกาย เช่น เดินวันละ ๔๐ นาที และแนะนำการหายใจเข้าลึกๆ เพื่อนำออกซิเจนเข้าปอดให้มากที่สุด หาวิธีคลายอารมณ์ ลดความเครียดด้วย อาจใช้โยคะ การทำสมาธิ หรือการ สวดมนต์ก็ได้  ถ้าน้ำหนักและความเครียดของผู้ป่วยความดันเลือดสูงลดไปได้แม้เพียงเล็กน้อยก็จะช่วยลดความดันเลือดได้อีกฝ่ายหนึ่ง

ผู้อ่านคงเหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่ทำงานนั่งโต๊ะ แต่ละวันไม่ได้ใช้พลังงานเท่าไหร่เลย เดี๋ยวก็ขับรถหรือขึ้นรถเมล์กลับบ้านก็ไม่ได้ออกกำลังกายอีก น้ำหนักของพวกเราจึงพอกพูนและโรคภัยก็ถามหาด้วย การเปลี่ยนแปลงการกินอาหารดูจะดีกว่าการกินยาลดความดันตลอดชีวิตแน่นอน คนไทยอยู่ประเทศไทยเรื่องอาหารสด ผัก ผลไม้ หาได้ไม่ยาก ถ้าอยู่ตะวันออก-กลางต้องกินเหมือนกับอยู่เมืองไทย อย่างนี้สงสัยจะแพงน่าดู กินอยู่แบบพอเพียง มีสุขภาพกายใจแข็งแรงกันถ้วนหน้านะคะ
      

October 19, 2012

กว่าจะปั้นดินให้เป็นดาว เอ ศุภชัย


ชอบอ่านสัมภาษณ์เอ ศุภชัยแกฮาตลอดๆ

.................

เขานักปั้นมือทองที่ปั้นพระเอกนางเอกโด่งดังมาแล้วมากมาย รวมทั้งเป็นผู้จัดการส่วนตัวดาราของนักแสดงชื่อดังที่คุณหลงใหล ไม่ว่าจะเป็น อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ, ป๋อ-ณัฐวุฒิ สะกิดใจ, เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารส, วิน-ธาวิน เยาวพลหลกุล, ปู-ไปรยา สวนดอกไม้, โน้ต-วัชรบูล ลี้สุวรรณ ฯลฯ

แต่ผู้ชายที่ชื่อ เอ-ศุภชัย ศรีวิจิตร มีอะไรดีถึงปั้นและดูแลนักแสดงระดับแถวหน้าของวงการได้? ต้องติดตามบรรทัดจากนี้ไป



?คนที่ปั้นให้เอเป็นผู้จัดการดาราก็ คือ อั้ม พัชราภา เมื่อก่อนเราเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องเรียน ม. รังสิตด้วยกัน แล้วอั้มเป็นรุ่นน้องเอห้าปี พอเดี๋ยวบอกว่าเป็นเพื่อน เดี๋ยวก็ด่าฉันอีก เพราะอั้มอายุน้อยกว่าห้าปี (หัวเราะ) แล้วเอ ซึ่งเรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ไปลงเรียนวิชาเลือกเสรีของคณะนิเทศศาสตร์ เอกับอั้มก็เลยลงเรียนด้วยกัน แล้วเอก็ขอลอกข้อสอบอั้ม พอประกาศผลสอบ อั้มก็ถามพี่เอว่าพี่ได้เกรดอะไร ซึ่งเอได้แค่ C+ แต่บอกอั้มว่าได้ A

?อั้มก็กวนมาก ไปขออาจารย์ดูว่าเราได้เกรดอะไร พอรู้แล้ว อั้มก็เลยมาเยาะเย้ยใส่เอว่าไม่ต้องโกหกหรอก จากนั้นเราสองคนก็เลยสนิทกัน เวลากลับบ้านก็ขออั้มนั่งรถกลับบ้าน ตอนนั้นอั้มยังไม่ได้ประกวดสาวแฮคส์เลย ก็คบกันจนอั้มประกวดและเซ็นสัญญากับทางผู้จัด พอหมดสัญญาอั้มก็ไม่มีคนดูแล เลยมาชวนให้เราไปดูแลคิวให้ บอกว่ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวฉัน เอก็ถามว่าฉันจะอยู่ได้เหรอ เธอจะให้เงินฉันเท่าไร อั้มก็บอกว่าเธอก็ดูแลคนอื่นไปด้วยสิ?




?กับป๋อเราเป็นเหมือนต้นไม้ที่โตมาด้วยกันนะ เพราะป๋อเป็นคนแรกที่เป็นผลงานของพี่ แล้วพี่เอเป็นคนที่มีพรสวรรค์ ที่จะรู้ว่าใครดัง คือพี่ไม่ใช่คนที่เก่งไง เพราะฉะนั้นพี่ไม่สามารถปั้นดินให้เป็นดาวได้ เพราะฉะนั้นพี่ต้องไปหาดาวอยู่แล้ว เวลาเจ้าของบทประพันธ์ถ่ายทอดชีวิตของพระเอกนางเอกออกมา ถ้ามันมีอยู่ในชีวิตจริงคนเหล่านั้นคือดาว

?พระเอกของพี่ก็คือประมาณคุณชายกลาง อย่างเช่น โน้ต วัชรบูล จบเกียรตินิยม ดูเท่ ป๋อจบจากลอนดอนผู้ดีอังกฤษ คือแบบว่าเขาไม่จำเป็นต้องมาทำงานกับพี่เขาก็มีอันจะกินกันอยู่แล้ว เราทาบทามพวกนี้เหนื่อยจะตาย คนที่แบบโอ้โห! เขารวยอยู่แล้ว พอไปทาบทามเขาก็ตกใจแล้วว่าจะเอาเขาไปไหน เขาจบโทมาจากลอนดอน เขาก็มองอาชีพประมาณว่านักธุรกิจ ทำงานบริษัทเอเจนซี่ เราก็ต้องใช้มารยาห้าร้อยเล่มเกวียนล่อ คือก็พูดความจริงนั่นแหละ แต่อาศัยว่าคมคายนะ ป๋อนะอย่างน้อยเราก็เป็นพี่น้องกันเรียนมาจากม.รังสิตด้วยกัน พี่เอเป็นรุ่นพี่ป๋อเป็นรุ่นน้อง เชื่อใจได้ ยังไงพี่เอก็ไม่หลอกลวงป๋อ?




?พรสวรรค์ในการโน้มน้าวนี้เอได้มาจากการเป็นนักโต้วาทีอันดับ 1 ของภาคใต้นะ ตอนนั้นพี่เรียนอยู่ ร.ร.เบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช? ผู้จัดการแดนใต้โปรโมทคุณสมบัติตัวเองก่อนเล่าถึงยุทธวิธีเด็ดดาวต่อว่า ?เราโน้มน้าวในสิ่งที่เราคิดว่าเราจะทำได้ กับสิ่งที่เราพูดกับเขาไว้ เหมือนน้องโน้ต วัชรบูล ตอนนั้นเขาทำงานบริษัทเงินเดือนห้าหกหมื่น แล้วพี่ก็พูดกับเขาว่าผมจะทำให้คุณเป็นพระเอกให้ได้ น้องโน้ตเขาบอกว่าคุณมั่นใจในตัวผมแค่ไหน พี่บอกว่าผมมั่นใจ น้องโน้ตบอกว่าถ้าคุณมั่นใจก็เอาสิเดี๋ยวผมจะลองดูกับคุณ

กับป๋อเอติดต่อนานมาก คุยอยู่ห้าเดือนนะ ฮู้...ย คุยไปโดนสารพัดอย่าง นอนอยู่บ้าง เอตื๊อสุดๆ ตื๊อจนขนาดป๋อบอกว่า เนี่ยพี่เอ เดือนนี้ป๋อจะไม่ว่างเลยนะ 1 เดือน พี่อย่าโทรมาได้เปล่า เอก็ต้องบอกว่าครับ (ทำเสียงหงุดหงิดสุดฤทธิ์) แล้วเราต้องรอ 1 เดือน ซึ่งเราว่างงานอยู่คิดดูดิ เราอดทนนะ ถ้าโทรก่อน 1 วันตายแน่ ป๋อบอกว่ามันจะไม่คุยด้วยเลย ขนาดเราเป็นรุ่นพี่ที่รังสิตนะ เรียนวิศวะมาด้วยกัน พอคิดถึงอดีตตัวเองก็รู้สึกว่าเราทำไปได้อย่างไงเนี่ย




เวียร์นี่ก็เหนื่อยมาก มีเพื่อนเอารูปในมือถือมาให้ดูบอกว่ามีเด็กคนนี้อยู่ ม. ขอนแก่น หน้าตาดี แต่เพื่อนอายไม่กล้าเข้าไป ก็ปล่อยเราทิ้งอยู่หน้า ม. ขอนแก่น ก็จ้างใช้มอเตอร์รับจ้างขับไปเรื่อยๆ ก็ถามมีผู้ชายคนนี้อยู่ที่นี่ไหม คนก็บอกรู้จัก แต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน ไม่มีเบอร์ จนตามไปนั่งรอหน้าหอ 4-5 ชั่วโมง รอจนเจอตัว แล้วเขาก็ไม่ยอมมา เพราะเขามีอาชีพในใจอยู่แล้วคือวิศวะ เราก็คิดว่าตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก ก็บินไปตื้อทั้งเวียร์ พ่อแม่ เกือบสี่เดือน?สิ่งที่ผู้จัดการและนักปั้นต้องดูแลมากกว่านั้น คือการเรียนรู้ทุกสิ่งที่ทุกอย่างเกี่ยวกับดาราในสังกัดของตัวเองว่าทุกคนว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร เรียกว่ารู้ใจหมดทุกอย่าง


เรายังต้องจ่ายเงินทุกอย่างในการดูแลน้องเพื่อให้ออกมาเพอร์เฟ็กต์มากที่สุดเวลาสู่สายตาประชาชน ให้เขาเป็นที่ยอมรับในวงการ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างครูมาสอนการแสดง จ้างครูมาสอนบุคลิกภาพ เดี๋ยวนี้หน้าตาอย่างเดียวขายคนไทยไม่ได้แล้ว ต้องขายความสามารถ เมื่อก่อนนี้ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่ระยะหลังๆ มันเหนื่อยมากเลย บางคนหมดไปเป็นล้านเลยก็มีครับ

ตอนนี้เราก็หางานให้น้องด้วยในหลายทางๆ นอกจากงานละครแล้ว เราก็ต้องช่วยให้เขาได้ถ่ายโฆษณาด้วย เพราะการถ่ายโฆษณา มันก็ทำให้คนรู้สึกว่า กลุ่มเป้าหมายที่ยอมรับเรามีมากขึ้น ไม่ใช่คนชอบอย่างเดียวแล้ว สินค้าต่างๆ ก็ยอมรับ รวมไปถึงการให้สัมภาษณ์นักข่าว มันเหมือนน้ำพึ่งเรือเสื้อพึ่งป่า เราต้องอยู่ด้วยกัน ถ้าดาราวิ่งหนีนักข่าวมันก็จบ เพราะนักข่าวเป็นคนทำให้คนทั้งประเทศรู้จักดารา ถ้าคุณวิ่งหนีคนที่ทำให้คนทั้งประเทศรู้จักคุณ คุณก็ไปแสดงอยู่ที่บ้านคนเดียวและก็ดูคนเดียวดีกว่า เราจะสอนน้องเสมอว่า ต้องสวัสดีสวยๆ นะต้องไหว้จากใจ

เครดิตเวป http://www.patchrapa.com/forum/index.php?
ขอบคุณ คนเล่าเรื่อง  at pantip.com

October 18, 2012

วิธีทำความสะอาดสแตนเลส


วิธีทำความสะอาดสแตนเลส

   * รอยเปื้อน : รอยนิ้วมือ
     วิธีทำความสะอาดสแตนเลส : ล้างด้วยสบู่ ผงซักฟอก หรือสารทำละลาย เช่น แอลกอฮอล์ หรือ อะซีโตน ( Acetone) แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นจนสะอาด จากนั้นเช็ดให้แห้ง
   * รอยเปื้อน : น้ำมัน คราบน้ำมัน
     วิธีทำความสะอาด : ล้างด้วยสารละลายไฮโดรคาร์บอน / ออร์กานิก (เช่น แอลกอฮอล์) แล้วล้างออกด้วยสบู่ /ผงซักฟอกอย่างอ่อน และน้ำ ล้างออกด้วยน้ำเย็น และเช็ดให้แห้ง แนะนำให้จุ่มชิ้นงานให้โชกก่อนล้างในน้ำสบู่อุ่น ๆ
   * รอยเปื้อน : สี
     วิธีทำความสะอาดสแตนเลส : ล้างออกด้วยสารละลายสี ใช้แปลงไนล่อนนุ่ม ๆ ขัดออก แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นและเช็คให้แห้ง
   * เปลี่ยนสีเนื่องจากความร้อน
     วิธีทำความสะอาดสแตนเลส :ทาครีม (เช่น บรัสโซ) ลงบนแผ่นขัดที่ไม่ได้ทำจากเหล็ก แล้วขัดคราบที่ติดบนสแตนเลสออก ความร้อนขัดไปในทิศทางเดียวกันกับพื้นผิว ล้างออกด้วยน้ำเย็น และเช็ดให้แห้ง
   * รอยเปื้อน : ฉลากและสติ๊กเกอร์
     วิธีทำความสะอาดสแตนเลส : แช่ ในน้ำสบู่ร้อนๆ ก่อนจะลอกฉลากและทำความสะอาดกาวที่ติดอยู่ออกด้วยเมทิลแอลกอฮอล์ ( Methylated Spirit) หรือน้ำมันเบนซิน จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสบู่หรือน้ำผสมผงซักฟอก ล้างออกอีกทีด้วยน้ำร้อน เช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาดเนื้อนุ่ม
   * รอยเปื้อน :รอยน้ำ ตะกรัน
     วิธีทำความสะอาดสแตนเลส : รอยที่เห็นชัดสามารถลดเลือนได้ด้วยการแช่ไว้ในน้ำส้มสายชู 25% หรือกรดไนตริก 15% จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด ตามด้วยน้ำสบู่หรือน้ำผสมผงซักฟอก และล้างออกอีกครั้งให้สะอาดด้วยน้ำร้อน เช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาดเนื้อนุ่ม
   * รอยเปื้อน : สารแทนนิน จากชาหรือกาแฟ
     วิธีทำความสะอาดสแตนเลส : ล้าง ด้วยน้ำร้อนผสมโซดาซักผ้า (โซเดียมไบคาร์บอเนต) จากนั้นล้างตามด้วยน้ำสบู่หรือน้ำผสมผงซักฟอก ล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำร้อน เช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาดเนื้อนุ่ม
   * รอยเปื้อน : คราบสนิม
     วิธีทำความสะอาดสแตนเลส : แช่ส่วนที่ขึ้นสนิมในน้ำอุ่นผสมสารละลาดกรดไนตริกในสัดส่วน 9:1 เป็นเวลา 1 ชั่วโมง จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด หรือทาพื้นผิวที่ขึ้นสนิมด้วยสารละลายกรดออกซาลิก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็นและเช็ดให้แห้งหรือ ในกรณีของคราบสนิมที่ติดทนและยากต่อการกำจัด อาจต้องใช้เครื่องจักรช่วยขัดทำความสะอาด

การดูแลรักษาสแตนเลส

   * หากไม่ได้ทำความสะอาดเป็นประจำ ควรทำความสะอาดทันทีที่พบรอยเปื้อนและฝุ่น
   * ในการทำความสะอาดควรเริ่มจากวิธีและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนที่สุด ก่อน เสมอและทดลองทำความสะอาดเป็นบริเวณเล็กๆ ก่อนเพื่อให้มั่นใจถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น
   * ใช้น้ำอุ่นเพื่อช่วยขจัดความมันของน้ำมันหรือจาระบี
   * ในขั้นตอนสุดท้ายของการทำความสะอาด ให้ใช้น้ำสะอาดล้างและเช็ดให้แห้งด้วยผ้าเนื้อนุ่มหรือกระดาษชำระแผ่นใหญ่ทุกครั้ง
   * เมื่อใช้กรดทำความสะอาดสแตนเลส ควรใช้มาตรการป้องกันและระมัดระวังอย่างเหมาะสม
   * ล้างเครื่องใช้ที่ทำจากสแตนเลสทันทีที่เตรียมอาหารเสร็จเสมอ
   * หลีกเลี่ยงรอยเปื้อนที่เกิดจากเหล็กโดยไม่ใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดที่ทำ จาก โลหะ หรืออุปกรณ์ที่เคยนำไปทำความสะอาดชิ้นส่วนที่ผลิตจากเหล็กกล้าคาร์บอน (Carbon Steel) มาก่อน
   * กรณีที่ไม่แน่ใจในวิธีทำความสะอาดหรือพบรอยเปื้อนที่ไม่สามารถขจัดออกได้ ให้ขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
สิ่งที่ไม่ควรทำกับพื้นผิวสแตนเลส

   * อย่าเคลือบสแตนเลสด้วยขี้ผึ้งหรือสารที่มีความมัน เพราะจะทำให้ฝุ่นหรือรอยเปื้อนติดบนพื้นผิวได้ง่ายขึ้นและทำความสะอาดออกได้ยาก
   * อย่าใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของคลอไรด์ ( Chlorides) และ เฮไลด์ ( Helides) เช่น โบรไมน์ ( Bromine) ไอโอดีน ( Iodine) และ ฟลูออรีน (Fluorine)
   * อย่าใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคทำความสะอาดสแตนเลส
   * อย่าใช้กรดไฮโดรคลอริค ( HCI) ในการทำความสะอาด เพราะจะทำให้เกิดการกัดกร่อนแบบรูเข็มและแบบเป็นรอยร้าวได้ ( Pitting and Stress Corrosion Cracking)
   * อย่าใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่แน่ใจ
   * อย่าใช้น้ำยาทำความสะอาดเครื่องเงิน
   * อย่าใช้ปริมาณสบู่และผงซักฟอกมากเกินไปในการทำความสะอาด เพราะอาจทิ้งคราบไว้บนพื้นผิวได้
   * อย่าทำความสะอาดส่วนที่มีคราบฝังแน่นในขั้นตอนเดียว ควรทำความสะอาดเบื้องต้นก่อนขจัดคราบฝังแน่น

ขอบคุณ guru.google

October 15, 2012

9 อาหารเสริม เพิ่มพลังเพศ

by Taste 8 ตุลาคม 2555

ขอแนะนำอาหารเสริมที่หาได้ไม่ยาก และไม่ต้องรอให้เป็น “เม็ดๆ” มาก่อนถึงรับประทานได้ มีอะไรบ้าง ไปลองลิ้มชิมดูกัน
       1.พริกขี้หนู & หญ้าฝรั่น
       คุณอาจคิดว่าการกินพริกเผ็ดๆ จะทำให้คุณเป็นคนฮอต แต่ที่จริงแล้ว ยังไม่เคยงานวิจัยชิ้นใดที่ให้การรับรองในเรื่องนี้เลย
      
       เมื่อพริกไม่เวิร์ก เราขอแนะนำหญ้าฝรั่น (Saffron) เครื่องเทศราคาแพงชนิดนี้สามารถหาซื้อได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วไป มีสรรพคุณลดอาการซึมเศร้าและความรู้สึกเจ็บปวดต่างๆ ทั้งยังมีสาร Picrocin ที่ช่วยให้ร่างกายของคุณไวต่อการสัมผัสต่างๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มรสรักให้แก่คุณได้
       2.หน่อไม้ฝรั่ง
       การกินผักอาจดูไม่ค่อยเซ็กซี่เท่าไรนัก แต่หน่อไม้ฝรั่งถือได้ว่าเป็นยากระตุ้นความต้องการทางเพศที่เก่าแก่ที่สุดเลยทีเดียว
       3.สเต็กสันนอก
       เนื้อสันนอกเป็นแหล่งโปรตีนชั้นยอดซึ่งมีสาร Dopamine และ Norepinephrine ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยเพิ่มความสนุกในการมีเซ็กซืและยังมีสังกะสีที่คอยช่วยยับยั้งการผลิตสารโปรแล็กตินซึ่งเป็นสารสำคัญในการลดอารมณ์เพศในผู้หญิงอีกด้วย
       4.ไอศกรีมวานิลลา
       กลิ่นหอมๆ ของวานิลลา ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างอารมณ์หวานๆ ให้คู่รักเท่านั้น แต่แคลเซียมและฟอสฟอรัสในไอศกรีมยังช่วยสร้างพลังงงานสำรองให้กล้ามเนื้อ กระตุ้นความต้องการทางเพศ และทำให้คุณมีบทรักที่เร่าร้อนยิ่งขึ้น
       5.มะเขือเทศ
       จริงอยู่ว่า ไลโคปีนในมะเขือเทศทำให้ผิวของคุณสวยขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน สารตัวนี้ก็ทำให้ระดับของฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนลดลง ฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย
       6.มะพร้าว
       มะพร้าวสามารถเพิ่มฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนและเพิ่มความสุขให้เซ็กซ์ของคุณได้ ดินเนอร์มื้อนี้ลองกินอาหารที่ทำจากกะทิดูก็ดีนะ
       7.กล้วย
       อ๊ะ อ๊ะ อย่าเพิ่งคิดลึก รูปทรงก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่เราแนะนำให้คุณกินกล้วย เพราะผลไม้ชนิดนี้อุดมไปด้วยโพแทสเซียมและวิตามินบีในปริมาณที่พอเหมาะซึ่งจะช่วยการกระตุ้นการผลิตเซ็กซ์ฮอร์โมนได้เป็นอย่างดี
       8.หอยนางรม & เมล็ดฟักทอง
       หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำร่ำลือว่า หอยนางรมสดๆ เป็นไวอากร้าชั้นยอด เนื่องจากมีไอโอดีนและสังกะสีสูง แต่ถ้าจะให้ได้ผลจริงๆ เราจะต้องกินหอยนางรมอย่างน้อย 50 ตัว! หมดอารมณ์ไปเลยใช่ไหมล่ะ
      
       ถ้าไม่มีหอยนางรม เราขอแนะนำเมล็ดฟักทอง เพราะเจ้าเมล็ดฟักทองมีสังกะสีและโปรตีนสูงมาก แถมยังช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย
       9.สตรอว์เบอร์รี่เคลือบช็อกโกแล็ต
       ช็อกโกแล็ต อุดมไปด้วย Phenyl Ethylanine ที่กระตุ้นให้เกิดการผลิตฮอร์โมนตัวเดียวกับที่ร่างกายคุณจะผลิตขึ้นเวลามีเซ็กซ์ ส่วนสตรอว์เบอร์รี่ก็มีวิตามินซีที่สามารถกระตุ้นความต้องการทางเพศได้ด้วย แต่ถ้าจะให้ ช็อกโกแล็ตที่คุณกิน ควรเป็นดาร์กช็อกโกแล็ตที่มีปริมาณโกโก้ 60% ขึ้นไปนะ
      
       ดังนั้น ซื้อช็อกโกแล็ตครั้งต่อไป อย่าลืมสังเกตส่วนประกอบด้วยว่า มีเปอร์เซ็นต์โกโก้ “เท่ากับ” หรือ “มากกว่า” ที่ว่ามา หรือเปล่า
      
       ข้อมูล : นิตยสาร Lisa

October 12, 2012

ปล่อยหนังสือ ที่หอศิลป์ กทม.


"ปล่อยหนังสือ"แลกกันอ่าน การเวียนให้แบบไม่รู้จบ
โดย สิรนันท์ ห่อหุ้ม

มติชน 23 กันยายน 2555


เด็กหญิงตาโตเป็นประกาย เมื่อค้นเจอหนังสือ "เจ้าชายน้อยฉบับการ์ตูน" เล่มใหญ่ ที่อยากได้มาแสนนาน แต่เก็บเงินซื้อไม่ได้ซะที ซ่อนตัวอยู่ในหนังสือกองโตที่รอคนรักคนใหม่มาค้นพบ

เด็กหนุ่มก็เช่นกัน เมื่อในที่สุดเขาได้เจอ "จับตาย" ของมนัส จรรยงค์ ซึ่งไม่เคยเจอในร้านหนังสือใด นอกเหนือไปจากในห้องสมุด

ส่วนคุณป้ามาพร้อมกระเป๋าที่ภายในบรรจุหนังสือแนวปรัชญาและธรรมะที่จะนำมาแลกเปลี่ยนกับหนอนคนอื่น

ภาพทั้งหมดเกิดขึ้นในงาน "ปล่อยหนังสือ" ซึ่งจัดขึ้นโดย "เครือข่ายเพื่อนหนังสือ" ที่หอศิลป์ กทม.

โครงการเล็กๆ ของคนรักหนังสือนี้มีมาแล้ว 3 ครั้ง และจัดครั้งที่ 4 ในวันนี้ อย่างไร้ทุนจากภาครัฐ ไร้การโปรโมตแบบโหมกระหน่ำ ทว่ากลายเป็นงานที่คนรักหนังสือรอคอย

รอคอยที่จะนำหนังสือของตัวมาพบกับเจ้าของใหม่ และนำหนังสือของคนอื่นไปเป็นหนังสือเล่มใหม่ในบ้าน ตามคอนเซ็ปต์ของโครงการที่ว่า "หนังสือเก่าของท่าน คือหนังสือใหม่ของเรา"

"วงจรหนังสือมันพิการ หนังสือเล่มหนึ่งค่าแรงขั้นต่ำไม่พอซื้อ คนซื้อก็น่าสงสาร คนทำคนขายก็มีแต่จะขาดทุน จึงต้องตัดวงจรด้วยการปล่อย หรือความหมายจริงๆ คือการให้ เพราะทั้งผู้ให้ผู้รับมีความสุข ส่วนคนทั่วไปก็สามารถเอาหนังสือที่อ่านแล้วมาทำบุญได้" "พลพิศิษฎ์ คงธนญาณ" เจ้าของร้านหนังสือ "จุดประกาย" และตัวแทนจากเครือข่ายเพื่อนหนังสือ ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของคนรักหนังสือ ทั้งคนทำสำนักพิมพ์ นักอ่าน นักเขียน คนขายหนังสือ อธิบายถึงจุดเริ่มต้น

"พวกเรามองเห็นปัญหาที่คนไม่อ่านหนังสือ หนังสือราคาแพง ห้องสมุดตอบสนองสังคมไม่ได้ เพราะระบบยืมคืนยุ่งยาก ทั้งเวลาปิด-เปิดก็ไม่ตอบสนองสังคมที่เร่งรีบ ก็คุยกันว่าในต่างประเทศ เขาแก้ปัญหาด้วยการปล่อยหนังสือ อย่างที่จีน ที่ยุโรป เราเลยทำบ้างดีกว่า ซึ่งเรารับหนังสือทุกประเภทนะครับ ขอแค่ไม่ใช่หนังสือโป๊ก็พอ"

จากจำนวนผู้ปล่อยครั้งแรก 37 ราย กับหนังสือ 1,200 เล่ม ผู้ร่วมงาน 200 คน งานปล่อยครั้งที่ 3 มีผู้ร่วมปล่อยถึง 85 ราย และหนังสือมากกว่า 5,000 เล่ม ขณะผู้ร่วมงานก็เกินกว่า 500 คน ที่รวมตัวอยู่ที่ชั้น 4 หอศิลป์ช่วงบ่ายวันอาทิตย์ ระหว่างบ่ายสองถึงห้าโมงเย็น

ภาพที่ปรากฏต่อสายตาคือการพูดคุยถึงหนังสือเล่มนั้น เล่มโน้น มือที่ค่อยๆ เปิดหนังสืออ่านทีละหน้า พร้อมชี้ให้คนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ดูหนังสือที่ตัวเองหยิบมาจากตู้หนังสือเพื่อร่วมปล่อย เป็นภาพที่สัมผัสได้ถึงความสุข ความสบายใจของคนรักหนังสือ

"การปล่อยหนังสือคือการให้ไปเลย แต่จะรณรงค์ให้ผู้อ่านได้รู้สึกมีส่วนร่วม โดยนำหนังสือที่อ่านแล้วมาร่วมบริจาค ปล่อยให้ผู้อื่นต่อไป รวมทั้งปลูกฝังจิตสำนึกให้ไม่ครอบครอง จึงเป็นการให้แบบไม่มีเงื่อนไข เพราะเราอยากให้หนังสืออยู่ในมือคนอ่านจริงๆ เพราะงั้นชอบเล่มไหน เอากลับบ้านได้เลย"

พลพิศิษฎ์มองสิ่งที่เกิดขึ้นกับโครงการปล่อยหนังสือนี้ เป็นกระจกสะท้อนอย่างดีถึงคำพูดที่ว่า คนไทยไม่อ่านหนังสือนั้น ไม่เป็นความจริง

"ต้องพูดว่า คนไทยขาดโอกาสในการอ่านมากกว่า เขาไม่เคยพบหนังสือดีๆ ไม่มีโอกาสอ่านเพราะหนังสือแพง เหมือนเวลาบอกว่า เด็กไทยไม่อ่านหนังสือ เด็กไทยก็เหมือนทั่วโลกนั่นล่ะ หนังสือมีแรงจูงใจน้อยกว่าไอโฟน การกระตุ้นการอ่านที่ไม่หลากหลาย ไม่มีวิธีแปลกๆ ดีๆ อย่าไปโทษเด็กเลย ผลิตผลอย่างเด็กที่ไม่อ่านหนังสือมาจากผู้ใหญ่สร้างไว้ไม่ใช่เหรอครับ ค่อยๆ เปลี่ยนปรับกันดีกว่า"

ทั้งนี้ งานปล่อยหนังสือไม่ได้เป็นเพียงการเอาหนังสือมาแลกกัน หรือเลือกหยิบเล่มที่อยากอ่านกลับบ้านเท่านั้น ทว่า มีกิจกรรมที่ทางเครือข่ายเพื่อนหนังสือชวนเพื่อนๆ มาร่วมทำด้วย อาทิ อ่านบทกวี เสวนา การแสดง ละครใบ้ หุ่นกระบอก ศิลปะการแสดงสด เพื่อสร้างสีสันและเสริมบรรยากาศของการเรียนรู้ให้สนุกกว่าเดิม

ดังนั้น ในวันนี้จึงจะได้พบกับเสียงดนตรีจาก "ติ๊ก ชิโร่, วง ที ลอซู, วงกำแพง" บทกวีจากนักเขียนดาวรุ่ง "อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ" และโชว์หุ่นกระบอกจาก "มานพ นิลงาม" ท่ามกลางหนังสือกองโต

"ตอนนี้ที่คุยกันไว้คือจะทำปล่อยหนังสือสัญจร คือเรามี facebook เครือข่ายเพื่อนหนังสือ ใครขนหนังสือมาปล่อยไม่ไหว บอกใน facebook ได้เลย มีแผนกขนส่งให้ โดยตั้งใจว่าในหนึ่งเดือนเราจะทำให้มีสัปดาห์แห่งการอวด สัปดาห์แห่งการแลก สัปดาห์แห่งการปล่อย สัปดาห์แห่งการยืมกัน"

"ค่อยๆ ทำไปครับ เพราะเราเป็นกองทัพมด"

"กองทัพมดที่พยายามสร้าง "การให้แบบไม่รู้จบ" ต่อสังคมไทย"