Pages

Long Live The king

Long Live The king

September 29, 2012

Gangnam Style - USNA Spirit Spot


ปรากฏการณ์ LINE

       POSITIONING : MAGAZINE : EXCLUSIVE
    
       โดย อังสุมาลิน ศิริมงคลกิจ Positioning Magazin
     
    
       -50 ล้านคน คือ ชาว LINE ทั่วโลกที่เกิดขึ้นในเวลา 399 วัน (มิ.ย. 2011-ก.ค. 2012)
    
       -20 ล้านคน อยู่ในญี่ปุ่น
    
       -1 ล้านคน คือ จำนวนเฉลี่ยผู้ใช้ LINE ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละสัปดาห์ที่ผ่านมา
    
       -100 ล้านคน เป็นจำนวนชาว LINE ทั่วโลกที่คาดว่าจะมีในสิ้นปี 2555
    
       -1,000 ล้านข้อความ ที่ส่งกันในแต่ละวัน
    
       -80 ล้านบาท คือ รายได้ต่อเดือนของ Naver บริษัทผู้พัฒนา LINE จากการขาย “สติกเกอร์”
    
       นี่คือสถิติของ “LINE” แอปพลิเคชัน “แชต” ที่พัฒนาตัวเองจนกลายเป็น “โซเชียลเน็ตเวิร์ก” ที่มีอิทธิพลต่อไลฟ์สไตล์ของผู้คนทั่วโลก และแน่นอนเป็น “มีเดีย” ที่ทรงพลังสำหรับแบรนด์
    
       ปรากฏการณ์ LINE นี้ยังกำลังระบาดหนักในไทย เพราะตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ในทุกมิติ สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นสำหรับนักการตลาดแล้ว ทุกปรากฏการณ์คือหลักฐานสำคัญที่ทำให้เรารู้จักผู้บริโภคยุคนี้ได้มากขึ้น
    
       LINE มาตอกย้ำว่า “แชต” เป็นพฤติกรรมยอดฮิตตลอดกาลของคนไทยโดยเฉพาะวัยรุ่น ที่ค่ายมือถือพบว่า “แชต” เป็นพฤติกรรมในระดับ Top 3 นอกเหนือจากโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คและอีเมล และยิ่งมีอุปกรณ์ตอบโจทย์มากขึ้นอย่างสมาร์ทโฟน เครือข่ายและแพ็กเกจที่เสนอราคาพร้อมจ่ายได้ ก็ยิ่ง “แชต” กันทุกที่ทุกเวลา ส่งกันกระหน่ำมากขึ้น
    
       แต่ “แชต” แบบเดิมๆ ส่งเฉพาะข้อความ ตัวการ์ตูนเล็กน้อยอย่างที่ WhatsApp เคยมีอาจน่าเบื่อ นี่คือช่องว่างที่ทำให้ LINE สามารถเข้ามาแย่งชิงพื้นที่ด้วย 3 Key Success ที่ใช้ดังนี้
    
       1. Cross Platform ใช้มือถืออะไรก็ LINE ได้ทั้งนั้น
    
       “การตกต่ำลงของ BlackBerry เป็นตัวอย่างที่ทำให้เราเห็นเลยว่า การคิดอะไรแล้วคิดว่าจะเก็บเอาไว้เฉพาะในดีไวซ์ หรือใช้เฉพาะในแพลตฟอร์มตัวเอง เป็นสิ่งที่ผิด แต่ LINE เปิดตัวมาก็เห็นเลยว่าใช้ได้กับโทรศัพท์มือถือหลายประเภท เขาไม่ปิดกั้น” โอม-อดิลฟิตรี ประพฤติสุจริต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ ออนไลน์ จำกัด อธิบาย
    
       เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ LINE เล็งเห็นมาตั้งแต่ต้น เพราะถ้าหากไล่เรียงประวัติการเปิดตัวของ LINE จะพบว่า LINE คิดเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะเจาะตลาดแชตระดับโลกด้วยการเข้าถึงทุกระบบปฏิบัติการบนสมาร์ทโฟน เริ่มจาก iOS สัปดาห์ต่อมาเปิดตัวบน Android ตามด้วย Windows Phone BlackBerry และข้ามมายังอุปกรณ์อย่าง PC
    
       เป็นการเปิดทุกช่องทางให้ LINE เข้าถึงทุกกลุ่ม เพราะพฤติกรรมจริงของผู้ใช้งานก็คือ ทุกคนมีเพื่อนใช้โทรศัพท์มือถือหลากหลาย มีแอปฯ แชตหลายตัว หลายคนต้องเปลี่ยนแอปฯ แชตไปมา เพราะบางแอปฯ ไม่ได้อยู่บนทุกแพลตฟอร์มหรือทุกระบบปฏิบัติการ แต่เมื่อ LINE ใช้ได้หมด จึงตอบโจทย์แอปฯ เดียวเอาอยู่ ไม่ต้องสลับแอปฯ ไปมาให้ปวดหัว
    
       2. สติกเกอร์ เครื่องมือแทนใจคนขี้เกียจพิมพ์
    
       ช่องว่างที่ทำให้ LINE เข้ามาทดแทน WhatsApp หรือแอปฯ แชตอื่นๆ ได้ทั้งหมดคือหมัดเด็ดที่ถือเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่คือ “สติกเกอร์” ที่เป็นคาแร็กเตอร์น่ารัก ขณะที่ WhatsApp เน้นการส่งตัวหนังสือ มี Emotical ใช้แสดงอารมณ์ไม่มาก แต่ LINE มีคาแร็กเตอร์ที่สื่ออารมณ์ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้ถึงใจกว่า
    
       เอนก อนันต์วัฒนพงษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานบริหารกลุ่มลูกค้าพรีเพด บริษัทแอดวานซ์อินโฟรเซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ได้กล่าวถึงความแตกต่างของ LINE กับ WhatsApp ว่า “WhatsApp เป็นการสื่อสารด้วยข้อความ ตอบสนองด้านฟังก์ชัน ส่วน LINE มีอีโมชันด้วย มีสติกเกอร์กุ๊กกิ๊กซึ่งมาจากบุคลิกของบริษัทผู้พัฒนา”
    
       “WhatsApp พัฒนาโดยบริษัทจากอิสราเอลก็จะเน้นการใช้งาน ส่งข้อความเร็ว ระบบหลังบ้านดี ขณะที่ LINE เป็นของบริษัทเกาหลีที่พัฒนาในญี่ปุ่นก็เลยจับไลฟ์สไตล์ได้ มีความน่ารัก ใส่ผงชูรสเข้าไปมากกว่า และเราก็ใกล้ชิดกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นอยู่แล้ว”
    
       โอม-อดิลฟิตรี มองว่าสติกเกอร์เป็นมากกว่าแค่อีโมชัน “สำหรับผมสติกเกอร์มันเป็นมากกว่าอีโมชัน มันเป็นฟังก์ชันเลยล่ะ ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่ลูกน้อง LINE มาถามว่า มีคนนี้มาขอพบจะรับนัดไหม แล้วผมพิมพ์ตอบกลับไปว่า โอเค น้องเขาก็จะรู้เลยว่า เคสนี้เฉยๆ ไม่ต้องรีบก็ได้ แต่ถ้าผมส่งเป็นสติกเกอร์กลับไปเป็นตัวคาแร็กเตอร์ชูป้ายโอเค ลูกน้องก็จะรู้เลยว่าคนนี้เป็นคนที่ผมอยากเจอต้องรีบนัดให้ไวเลย ตรงนี้เป็นการบอกว่าสติกเกอร์เป็นตัวบอกระดับขั้นของคำว่าโอเค แล้วคนรับสารเขาก็จะเก็ตความรู้สึกของคนส่ง”
    
       3. คนไทยรักภาพมากกว่าคำ
    
       จากพฤติกรรมของคนไทยที่มักถ่ายทอดความรู้สึกหรือเหตุการณ์ต่างๆ รอบตัวด้วยภาพ เห็นได้จากการอัปโหลดภาพไปยังโซเชียลมีเดียทั้งหลาย คอนเทนต์ประเภทภาพมักได้รับความนิยมตลอดมาโดยตลอด การสื่อสารด้วยภาพแทนที่จะต้องมาพิมพ์จึงกลายเป็นทางออกของการสื่อสารที่แสดงความรู้สึกที่สอดคล้องกับฟังก์ชัน สติกเกอร์ของ LINE ซึ่งการสื่อสารด้วยภาพก็เคยฮิตมาก่อนแล้วตั้งแต่สมัย MSN แต่สิ่งที่ LINE ต่อยอดได้มากกว่าคือการเซตคาแร็กเตอร์ให้กับตัวการ์ตูน รวมทั้งร่วมมือกับแบรนด์ต่างๆ ทำให้ Content ภาพของ LINE มีเรื่องราวและอารมณ์ที่ผู้ใช้งานเอาไปใช้จริงได้ในชีวิตประจำวัน
    
       สามกุญแจสู่ความสำเร็จที่สร้างให้ LINE มีความต่าง กลายเป็นโปรดักต์ใหม่ที่สามารถสร้างเรื่องพูดคุยได้ยาวบนโลกโซเชียลมีเดียได้อย่างสวยงาม
    
       LINE คืออะไร
    
       LINE เป็นแอปพลิเคชันให้บริการ Messaging รวมกับ Voice Over IP ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างกลุ่มแชต ส่งข้อความ ภาพ คลิปวิดีโอ หรือจะพูดคุยโทรศัพท์แบบเสียงก็ได้ โดยข้อมูลที่ถูกส่งขึ้นไปนั้นฟรีทั้งหมด ตอนนี้ LINE ใช้ได้ในระบบปฏิบัติการ iOS, Android, Windows Phone, PC และ BlackBerry
    
       ฟีเจอร์ของ LINE ประกอบด้วย การส่งข้อความ, การสนทนาด้วยเสียง, การเปลี่ยนพื้นหลังแบ็กกราวนด์หน้าห้องแชต, การสนทนาแบบกลุ่ม, Official LINE และการส่งสติ๊กเกอร์
    
       การเชื่อมต่อ LINE ของผู้ใช้เข้าหากัน มี 4 วิธี
    
       1. เพิ่มคอนแท็กต์จากรายชื่อในสมุดโทรศัพท์ ซึ่งตรงนี้เป็นข้อดีของ WhatsApp ที่ทำให้ผู้ใช้งานสะดวก
    
       2. การสแกน QR Code
    
       3. Shake it เอาโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่องที่อยู่ใกล้กันมาเขย่าคล้ายการจับมือให้รู้จักกัน
    
       4. การเสิร์ชหาจาก ID คล้ายการใส่รหัสของ BlackBerry
    
       ต่อมา LINE ถูกพัฒนาไปไกลกว่าการเป็นแค่แอปพลิเคชัน เพราะ LINE ได้เพิ่มฟีเจอร์ Home และ Timeline เข้ามาจนกลายเป็น Social Media อย่างหนึ่ง โพสต์ข้อความบ่งบอกสเตตัส, รูปภาพ, คลิปวิดีโอ และพิกัด โดยมีจุดเด่นที่การแสดงอารมณ์ด้วยสติกเกอร์ซึ่งเป็นจุดแข็งของ LINE ซึ่งจุดนี้น่าจะเป็นไม้เด็ดที่ทำให้ LINE ถูกต่อยอดไปอีกมากและเบียด Social Media หลักอย่างเฟซบุ๊กเลยทีเดียว
    
       ระบบหลังบ้านอีกอย่างที่มีขึ้นมาแล้วบ่งบอกทิศทางอนาคตของนั่นคือ LINE Coin หรือ “เงิน” ในอาณาจักรทั้งหมดของ LINE ซึ่งก่อนหน้านี้การซื้อสติกเกอร์จะซื้อผ่านบัตรเครดิตที่ผูกกับแอปฯ โดยตรง แต่หลังจากอัพเดตล่าสุด Coin ได้เข้ามาแทนที่ กล่าวคือ ต่อไปนี้เมื่อซื้อบริการหรือสติกเกอร์ต้องแลกเป็น Coin ก่อน ถึงแม้ราคา 100 Coin จะเทียบเท่า 1.99 เหรียญเท่ากับราคาสติกเกอร์แบบเดิม แต่นี่เท่ากับเป็นการปูทางไปสู่บริการอื่นๆ ของ LINE ที่ Naver เจ้าของแอปฯ นี้ประกาศชัดเจนแล้วว่า จะให้บริการดูดวง, เกม และคูปองส่วนลดในอนาคต ซึ่งเท่ากับว่า LINE พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นโซเชียล มีเดีย แพลตฟอร์มแบบมีทิศทางการหารายได้อยู่ในใจชัดเจนแล้ว
    
       กำเนิด LINE จากวิกฤตสึนามิญี่ปุ่น
    
       Naver คือ บริษัทผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่น LINE เป็นบริษัทผลิตเกมสัญชาติเกาหลี มีสาขาที่ประเทศญี่ปุ่น ไอเดีย LINE มาจากเหตุการณ์วิกฤต จึงเป็นแอปฯ ที่แม้จะมีความน่ารักกุ๊กกิ๊ก แต่ต้นกำเนิดของ LINE ดราม่าไม่น้อย เพราะมาจากตอนที่ญี่ปุ่นเกิดสึนามิ ระบบการสื่อสารประเภท Voice ล่มจนติดต่อกันไม่ได้ ทีมงาน 100 ชีวิตจึงระดมกำลังสร้างช่องทางสื่อสารผ่าน Data ซึ่งตอนนั้นยังใช้ได้อยู่ เพื่อติดต่อและให้กำลังใจกัน ในที่สุด LINE ก็ถือกำเนิดขึ้นในเวลา 2 เดือน
    
       เมื่อแอปฯ LINE ถูกพัฒนาขึ้นจากส่วนที่ทำงานอยู่ในญี่ปุ่น จึงมีส่วนผสมของความน่ารักของญี่ปุ่นที่เป็นจุดขายการส่งออกด้านวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาทั่วเอเชียอยู่แล้ว ทำให้การออกแบบคาแร็กเตอร์ของ LINE เข้าถึงคนไทยได้ไม่ยาก รวมทั้งประเทศอื่นๆ อย่างรัสเซีย เบลารุส ซึ่งนอกจากความน่ารักแล้วยังมาจากคาแร็กเตอร์ที่มีพื้นฐานจากการใช้ชีวิต สถานการณ์ และอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน
    
       สำหรับการทำตลาดในประเทศไทย ผู้บริหารของ LINE ได้ว่าจ้างบรษัท Spark Communication ดูแลเรื่องการทำพีอาร์ แต่สำหรับดีลต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับคู่ค้าต่างๆ ผู้บริหารจะบินตรงมาเจรจา จากนั้นมีการประสานงานกันผ่านทางอีเมลอย่างต่อเนื่อง
    
       Time “LINE”
       -23 มิถุนายน 2011 เปิดตัวเป็นครั้งแรกในระ บบ iOS
       -28 มิถุนายน 2011 เข้าสู่มือถือ Android
       -เดือนตุลาคม 2011 เริ่มต้นใช้ Free Call ได้ 
       -17 ตุลาคม 2011 มีผู้ใช้งาน 3 ล้านดาวน์โหลด
       -8 พฤศจิกายน 2011 หลังจากใช้งานมาแค่ 5 เดือนก็มีผู้ใช้งานถึง 5 ล้านคน 
       -29 พฤศจิกายน 2011 ประกาศมีผู้ใช้งาน 7 ล้านคน
       -27 ธันวาคม 2011 ฉลองตัวเลข 10 ล้านคน
       -27 มกราคม 2012 พอเข้าสู่ปีใหม่ Line ก็มีผู้ใช้งาน 15 ล้านคน
       -2 มีนาคม 2012 ผู้ใช้งาน 20 ล้านคนทั่วโลก
       -7 มีนาคม 2012 ใช้งาน Line บน PC ก็ได้ 
       -10 มีนาคม 2012 ตามมาด้วยการใช้งานบน Windows Phone และ Mac
       -29 มีนาคม 2012 เปิดตัว Line Card
       -12 เมษายน 2012 เปิดตัว Line Camera แอปฯ แต่งภาพ 
       -18 เมษายน 2012 Line แอปฯ หลักมีผู้ใช้งาน 30 ล้านคน 
       -26 เมษายน 2012 เพิ่ม Sticker Shop ผู้เล่นซื้อสติ๊กเกอร์ได้แล้ว 15 แบบ 
       -9 พฤษภาคม 2012 คุยเป็นกลุ่มได้แล้วด้วยฟีเจอร์ Group Board
       -6 มิถุนายน 2012 มีผู้ใช้งาน 40 ล้านคน เมื่อแอปฯ มีอายุ 1 ปี 
       กลางเดือนมิถุนายน 2012 Official Line เปิดให้บริการ 
       -4 กรกฎาคม 2012 Line Brizzle เกม Puzzle ที่มาพร้อมกับคาแร็กเตอร์นกจอมกวน 
       -ต้นเดือนกรกฎาคม 2012 จับมือกับ Sarino ออกแบบสติกเกอร์ Kitty
       -26 กรกฎาคม 2012 ฉลองครั้งใหญ่ด้วยยอดดาวน์โหลด 50 ล้านครั้ง 
       -ปลายเดือนกรกฎาคม 2012 เปิดตัว Line Brush แอปฯ วาดรูป 
       -ต้นเดือนสิงหาคม 2012 LINE ประเทศญี่ปุ่นเปิดจำหน่ายสติกเกอร์ Snoopy และ Tweety
       -6 สิงหาคม 2012 เปิดฟีเจอร์ Home และ Timeline ในแอนดรอยด์ 
       -20 สิงหาคม 2012 LINE for Blackberry ในประเทศไทยเริ่มใช้งานได้ 
       -21 สิงหาคม 2012 Line 3.1.0 ระบบเงินในโลกของ LINE ที่เรียกว่า LINE Coin


ขอขอบคุณ
http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9550000119220 

ตำนาน ขนมไหว้พระจันทร์

โป๊ยเหว่ย จงชิว

“ไหว้พระจันทร์” ตำนานสืบสานความกตัญญู


       ชาวจีนนั้นมีขนมธรรมเนียมในการไหว้พระ ไหว้เจ้า ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้าต่างๆ และยังรวมไปถึงไหว้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ซึ่งแสดงถึงความกตัญญูที่มนุษย์มีต่อธรรมชาติ เป็นการขอบคุณที่ทำให้ได้อยู่ดีมีสุข และเจริญรุ่งเรือง
  
       ในวันเพ็ญเดือนแปดตามปฏิทินจีน ก็มีการไหว้เช่นเดียวกัน เป็นหนึ่งใน 8 สารทใหญ่ของชาวจีนในแต่ละปี ซึ่งการไหว้ครั้งนี้ก็คือ “ไหว้พระจันทร์” หรือจะเรียกว่า “เทศกาลจงชิว” ซึ่งเป็นช่วงที่พระจันทร์สว่างไสวงดงามโดยวันไหว้พระจันทร์ปีนี้ ตรงกับวันที่ 30 ก.ย.
  
       สำหรับคนจีนมีความเชื่อว่าดวงจันทร์เป็นตัวแทนของเพศหญิง มีความนุ่มนวล สงบร่มเย็น และยังเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งความรัก อันน่าจะมีที่มาจากตำนานความเชื่อเกี่ยวกับการไหว้พระจันทร์ บ้างก็ว่า ฉางเอ๋อ หญิงงามนางหนึ่ง ได้กินยาวิเศษเข้าไป ก็สามารถเหาะเหินขึ้นไปอยู่บนดวงจันทร์ จากนั้นก็กลายเป็นอมตะ และเป็นเทพธิดาแห่งพระจันทร์ เล่ากันว่านางเป็นเทพธิดาที่มีความเมตตาอย่างมาก เมื่อถึงฤดูกาลเพาะปลูกก็จะพรมน้ำอมฤตลงมาบนพื้นโลก ทำให้ชาวไร่ชาวนามีน้ำในการเพาะปลูก ผู้คนจึงแสดงความกตัญญูต่อเทพธิดาด้วยการทำขนมพิเศษเพื่อนำไปเป็นเครื่องสักการะ
  
       หรือจะเป็นเรื่องเล่าที่ว่า ศิษย์ของโฮ่วอี้ชื่อ เฝิงเหมิ่ง อิจฉาฝีมือการยิงธนูของโฮ่วอี้มาก คอยคิดแต่จะสังหารโฮ่วอี้ อยู่มาวันหนึ่ง เฝิงเหมิ่งถือโอกาสตอนที่โฮ่วอี้ออกไปล่าสัตว์บังคับให้ฉังเอ๋อ ภรรยาของโฮ่วอี้มอบยาอายุวัฒนะให้แก่ตนเอง แต่ฉังเอ๋อไม่ยอม โดยกินยาอายุวัฒนะที่มีอยู่ทั้งหมดลงท้องไป ผลก็คือ ร่างของเธอเบา และลอยขึ้นไปสู่ดวงจันทร์ในที่สุด นับแต่นั้นมา บนดวงจันทร์ก็ปรากฏนางฟ้าผู้งดงามและจิตใจดีเช่นฉังเอ๋อนี้
  
       นอกจากนี้ก็ยังมีตำนานที่แตกต่างกันออกไปบ้าง แต่ก็ยังมีแนวคิดหลักคือความงดงามและจิตใจที่เมตตาของเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ จึงกลายเป็นธรรมเนียมที่จะต้องสักการะ แสดงความกตัญญูต่อดวงจันทร์
  
       อีกความเชื่อที่นับว่าเกี่ยวข้องกับความเป็นมาของชนชาติจีนด้วยก็คือ ช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน จักรพรรดิเจงกีสข่าน แห่งอาณาจักรมองโกล ได้เข้ามายึดครองแผ่นดินจีน และปกครองชาวจีนอย่างเข้มงวดและเผด็จการ ส่งผลให้ชาวจีนที่ถูกกดดันหลายๆ กลุ่มก่อตั้งขบวนการเพื่อปฏิวัติ และมีการนัดหมายวันปฏิวัติโดยมีอุบายจัดงานไหว้พระจันทร์ขึ้น และทำขนมก้อนใหญ่ มีไส้หนาๆ มอบให้แก่ญาติมิตร ซึ่งข้างในไส้นั้นมีจดหมายนัดแนะกำหนดเวลา เมื่อถึงช่วงเวลาตามนัด ชาวจีนต่างก็ร่วมกันต่อสู้และสามารถกู้เอกราชกลับคืนมาได้ นับจากนั้น เทศการไหว้พระจันทร์ก็ถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมา เพื่อเป็นการรำลึกถึงวีรกรรมของบรรพบุรุษ
  
       แต่ไม่ว่าจะมีตำนานความเป็นมาเช่นไร “การไหว้พระจันทร์” ก็เป็นเทศกาลที่รวบรวมญาติมิตรพี่น้องให้มาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา นับว่าเป็นเทศกาลแห่งความกลมเกลียวของครอบครัว


ขอขอบคุณ http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000118091

September 27, 2012

การล้างผักผลไม้ให้สะอาด


วิธีการล้างผักผลไม้ให้สะอาดหลายๆวิธี การบริโภคผักให้ปลอดภัยจากสารพิษ

ผักเป็นอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย ประกอบด้วยเซลลูโรสจำนวนมากซึ่งมีประโยชน์ช่วยในการขับถ่ายทำให้ไม่เป็นโรคท้องผูก และที่สำคัญในผักมีวิตามินเอช่วยบำรุงสายตา วิตามินซี ช่วยบำรุงเหงือกและฟัน และสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย แต่ในปัจจุบันผู้บริโภคมักประสบปัญหาสารตกค้างในพืชผัก อันเนื่องมาจากการใช้สารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืชที่ไม่ถูกต้องไม่เหมาะสม และไม่ระมัดระวังของเกษตรกรผู้ผลิต ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนผู้บริโภค ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรพิจารณาเลือกซื้อผักที่ปลอดภัยจากสารพิษ เช่น ผักที่ได้รับรองจากหน่วยราชการ หรือองค์กรต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีวิธีการที่ทำให้สารพิษตกค้างในผักลดน้อยลง เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้บริโภคด้วยวิธีการต่างๆ ก่อนนำประกอบอาหารรับประทาน ดังนี้

วิธีล้างผักให้สะอาดเพื่อลดปริมาณสารพิษ

ลอกหรือปอกเปลือก แล้วแช่น้ำสะอาดนาน 5-10 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 27-72

แช่น้ำปูนใส นาน 10 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 34-52

การใช้ความร้อน ลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 48-50

แช่น้ำด่างทับทิม นาน 10 นาที (ด่างทับทิม 20-30 เกล็ด) ผสมน้ำ 4 ลิตร) ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 35-43

ล้างด้วยน้ำไหลจากก๊อก นาน 2 นาที ลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 25-39

แช่น้ำซาวข้าว นาน 10 นาที และล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 29-38

แช่น้ำส้มสายชูหรือเกลือป่น (น้ำส้มสายชูหรือเกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 4 ลิตร) และล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 29-38

แช่น้ำยาล้างผัก นาน 10 นาที และล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 22-36

ข้อมูลโดย ฝ่ายตรวจวิเคราะห์สารเคมีและบริการเครื่องมือ กองป้องกันและกำจัดศัตรูพืช กรมส่งเสริมการเกษตร โทร. 561-4663

หรือ

- ตัดรากหรือส่วนที่ไม่ต้องการออก
- ล้างผักก่อนหั่นหรือเด็ด
- ล้างด้วยน้ำสะอาดอย่างน้อย 2 ครั้ง หรือล้างให้น้ำผ่านโดยใช้น้ำแรงๆ
- ยกผักขึ้นจากน้ำที่ล้าง
- ผักไม่มีใบ เช่น ถั่วฝักยาว ควรล้างผักทั้งฝักก่อน
- ผักเมล็ดและผลที่ติดกัน ควรแช่น้ำให้ดินอ่อนตัว จะล้างออกได้ง่ายและผักไม่ช้ำ
- ผักดอก เช่น ดอกกะหล่ำ ควรแช่น้ำเกลือไว้ประมาณ 10 นาที
เพื่อให้ตัวแมลงต่างๆ หลุดออกและแช่น้ำเปล่าอีกครั้ง
- ผักใบ เช่น ผักกาดขาว ผักกาดหอม ควรแกะออกเป็นใบๆ ออกจากต้น
จึงนำไปล้างเพื่อให้ดินตามซอกใบหลุดออก
การล้างผักสดด้วยน้ำสะอาดจนหมดดิน แล้วควรล้างด้วยน้ำยาสำหรับล้างผักอีกครั้ง เพื่อให้ไข่ของตัวหนอนและพยาธิหลุดออกจากผักได้เกือบหมด นอกจากน้ำเราควรแช่ผักในน้ำยาไอโอดีนโดยผสมไอโอดีน 100 ส่วนในน้ำล้านส่วน แช่ไว้ประมาณ 10 นาที จะช่วยทำลายพวกไข่หนอนและพยาธิ หรือใช้ด่างทับทิมล้างทำความสะอาดผัก

จากคุณ : jesset //pantip.com

September 20, 2012

Twinings London

ในปี 1706 โธมัสตัดสินใจซื้อต่อกิจการร้าน TOM’S COFFEE HOUSE บนถนน Strand ในกรุงลอนดอน ตอนนี้กลายเป็นร้านทไวนิงส์ 


Twinings @London

Thank you FB Twinings

September 19, 2012

เชิญร่วมกันสวดมนต์ อธิษฐานจิตถวายพระพร


เชิญร่วมกันสวดมนต์ อธิษฐานจิตถวายพระพร คืนนี้ครับ
(ฝากบอกต่อกันด้วย คืนนี้เป็นอีกคืน ที่เราจะสวดกันครับ เริ่มเวลา 21.00น.ทุกวัน )

มาร่วมกันเยอะๆ สถานที่บ้านของเราเองแต่ละท่านตามแต่สะดวก
พลังใจทุกดวงจะหล่อหลอมรวมกัน เป็นพลังบริสุทธิ์แรงกล้า เพื่อให้พระอาการประชวรของพระองค์ดีขึ้นในเร็ววัน อย่างที่เราเคยร่วมกันทำครับ

การสวดโพชฌังคปริตร มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลเลยทีเดียว ปฏิบัติสืบทอดกันมา 2555 ปี.แล้ว ซึ่งพระผู้ปฏืบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านมักให้สวดเสมอเมื่อมี่พระลูกวัดอาพาธ(ป่วย) วันนี้เราจึงมาร่วมน้อมจิตเข้ามาให้เกิดพลัง แผ่ไพศาล ถวายเป็นพระราชกุศลอีกครั้งหนึ่งครับ

บทสวด "โพชฌังคปริตร"
ตั้งจิตอยู่ในอาการสงบ แล้วสวด นโม ฯ 3จบ ตั้งจิตอธิษฐาน ถึงพระองค์ท่าน แล้วสวดดังนี้

โพชฌังโค สะติสังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา
( โพชฌงค์ 7 ประการ คือ สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์ )
วิริยัมปีติ ปัสสัทธิ โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร
( วิริยะสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ )
สะมาธุเปกขะโพชฌังคา
( สมาธิสัมโพชฌงค์ และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ )
สัตเตเต สัพพะทัสสินา มุนินา สัมมะทักขาตา
( 7ประการเหล่านี้ เป็นธรรมอันพระมุนีเจ้า ผู้ทรงเห็นธรรมทั้งปวงตรัสไว้ชอบแล้ว )
ภาวิตา พะหุลีกะตา
( อันบุคคลเจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว )
สังวัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธิยา
( ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน )
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
( ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ )
โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา
( ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ )
เอกัสมิง สะมะเย นาโถ โมคคัลลานัญจะ กัสสะปัง คิลาเน ทุกขิเต ทิสวา
( ในสมัยหนึ่ง พระโลกนาถเจ้า ทอดพระเนตรเห็นพระโมคคัลลานะ
และพระมหากัสสปะเป็นไข้ ได้รับความลำบาก )

โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ
( จึงทรงแสดงโพชฌงค์ 7 ประการ ให้ท่านทั้งสองฟัง )
เต จะ ตัง อะภินันทิตวา
( ท่านทั้งสองนั้น ชื่นชมยินดียิ่ง ซึ่งโพชฌงคธรรม )
โรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ
( โรคก็หายได้ในบัดดล )
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
( ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ )
โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา
( ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ )
เอกะทา ธัมมะราชาปิ เคลัญเญนาภิปีฬิโต
( ในครั้งหนึ่ง องค์พระธรรมราชาเอง (พระพุทธเจ้า) ทรงประชวรเป็นไข้หนัก )
จุนทัตเถเรนะ ตัญเญวะ ภะณาเปตวานะ สาทะรัง
( รับสั่งให้พระจุนทะเถระ กล่าวโพชฌงค์นั้นนั่นแลถวายโดยเคารพ )
สัมโมทิตวา จะ อาพาธา ตัมหา วุฏฐาสิ ฐานะโส
( ก็ทรงบันเทิงพระหฤทัย หายจากพระประชวรนั้นได้โดยพลัน )
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
( ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ )
โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา
( ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ )
ปะหีนา เต จะ อาพาธา ติณณันนัมปิ มะเหสินัง
( ก็อาพาธทั้งหลายนั้น ของพระผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่ทั้ง 3 องค์นั้น หายแล้วไม่กลับเป็นอีก )
มัคคาหะตะกิเลสาวะ ปัตตานุปปัตติธัมมะตัง
( ดุจดังกิเลส ถูกอริยมรรคกำจัดเสียแล้ว ถึงซึ่งความไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา )
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
( ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ )
โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา
( ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ เทอญ. )
--- จบ ----

หลังจากสวดมนต์จบ น้อมจิตเข้าหาตัวเรา สงบนิ่งพักอยู่จนจิตสงบ
พอจิตเราเวลาสงบ มีอาการโปร่งโล่งสบาย ก็พร้อมเหมาะควรแก่การอธิษฐานจิตถวายพระพรแด่ทั้งสองพระองค์
จากนั้นอธิษฐานจิตถวายพระพรแต่ทั้งสองพระองค์ ให้ทั้งสองพระองค์มีกำลังพระทัยที่เข้มแข็ง ให้หายจากพระอาการประชวรโดยไวครับ
ขอบคุณ FB เรารักพระเจ้าอยู่หัว

วิลลี่ ปลด เปิ้ล นาคร ออกจากสาระแน 19.9.55


Me: good state.Ask to share this Thank you

เหตุผลที่ วิลลี่ ปลด เปิ้ล นาคร ออกจากสาระแน  

หลังจากที่ เปิ้ล นาคร ออกมาโพสต์บอกว่าตัวเองโดนปลดฟ้าผ่าจากรายการ สาระแน ที่ตนเอง วิลลี่ และหอย ร่วมกันสร้างมากว่า 15 ปี นอกจากนี้ยังเขียนอำลาน้อง ๆ ทีมงานและน้อง ๆ ในลักษ์ 666 เหตุการณ์ครั้งนี้เหมือนเป็นการตอกย้ำว่า เปิ้ล นาคร มีปัญหากับ วิลลี่ และ หอย จริง ๆ  เพราะก่อนหน้านี้ เปิ้ล นาคร ได้ออกมาประกาศถอนหุ้นออกจากบริษัทดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าจะไปดูแลครอบครัว ซึ่งแท้จริงแล้วอาจมีปมขัดแย้งซ่อนอยู่ที่ทั้งหมดยังไม่พูดความจริงหรือเปล่า??

เรียกว่าช็อก!!ไปตาม ๆ กันแม้แต่คนในวงการก็ช็อกกับข่าวนี้ ล่าสุดเพื่อไม่ให้ประเด็นค้างคาใจนานจนเกินไปวันนี้ (19 ก.ย.) วิลลี่ แมคอินทอช ผู้บริหารบริษัทลักษ์ 666 ตั้งโต๊ะแถลงข่าวถึงสาเหตุทำไมต้องปลด เปิ้ล นาคร ออกจากรายการสาระแน

"เมื่อปีที่แล้วตอนที่พี่เปิ้ลบอกจะถอนหุ้นผมก็เข้าใจ และถ้าพี่เปิ้ลบอกว่าถ้าอยากให้ช่วยทำต่อก็็ได้ไม่มีปัญหา จนถึงเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมาผมจึงตัดสินใจบอกพี่เปิ้ลว่าเรารบกวนพี่เปิ้ลพอแล้วครับและขอบคุณพี่ยอมสละเวลา 1 ปีมาช่วยเรา ให้เรายังคงเป็นสาระแนที่แฟน ๆ จำได้ต่อจากนี้ไปให้พี่ลุยงานภาพยนตร์ให้เต็มที่และถ้ามีอะไรให้ช่วยหรืออยากเข้ามาเยี่ยมน้อง ๆ เรายินดีต้อนรับพี่เสมอ"

"ณ ตอนนี้พี่เปิ้ลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับลักษ์แล้วครับทั้งรายการ สาระแน แล้วก็ นั่งยางโชว์ แล้วรวมถึงรายการอื่นแต่อนาคตอาจมีครับ ต้องรอดู"

"คำว่า "ปลดฟ้าผ่า" ผมขอยอมรับผิดคนเดียวแทนทุก ๆ คน ผมรู้มาตั้งนานแล้วว่าถึงเวลาที่พี่เค้าต้องไปและผมก็ลำบากใจที่จะคุยกับพี่เค้าเรื่องนี้เหมือนกันเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซีเรียสพอสมควร แต่พอได้คุยพี่เปิ้ล พี่เค้าก็เข้าใจ เราทุกคนร้องไห้ครับเพราะมันเป็นสิ่งที่เราไม่เคยอยากให้มันเกิดขึ้น แต่เมื่อถึงจุดนึงที่มันเกิดขึ้นแล้วผมและทีมงานก็ต้องทำใจและยอมรับให้ได้ครับ"

"ชีวิตส่วนตัวยังเหมือนเดิม ทั้งผมและพี่เปิ้ลยังเป็นพี่น้อง เป็นครอบครัวกันเหมือนเดิม เราไม่เคยทะเลาะกัน ไม่เคยมีปัญหากัน ผมยังโทรหา ชวนกินข้าว เยี่ยมลูกเหมือนปกติครับ แต่เราจะไม่คุยเรื่องงานกันเท่านั้นเอง"

"ผมไม่คิดว่าเรื่องมันไม่น่าจะใหญ่ขนาดนี้ด้วยซ้ำเพราะถ้าหากผมรู้ว่ามันเป็นอย่างนี้จริง ๆ ผมคงยอมถอยออกมาเองแล้วให้พี่เปิ้ลกับพี่หอยทำรายการต่อแทน"

"เรื่องพูดให้พี่เปิ้ลออกจากรายการเป็นเรื่องที่พูดยากและผมทำใจยากมากครับ ผมทราบมาสองอาทิตย์แล้วว่าพี่เค้าต้องไป แต่ที่ตัดสินใจบอกกระทันหันเพราะผมไม่อยากให้เทปสุดท้ายมันเศร้าเลยมาบอกตอนอัดเสร็จ ซึ่งพี่เค้าก็เข้าใจดีครับ"

"กลัวกระแสว่าคนจะมองว่า ผมกับพี่หอยทิ้งพี่เปิ้ลเหมือนกัน แต่ยังไงผมยังยืนยันว่าเราไม่ได้ทิ้งแน่นอนครับ พี่เปิ้ลเองหน้าที่มีหนังที่พี่เค้าต้องรับผิดชอบเหมือนกันและผมกับหอยก็มีงานในไลน์ของผมเหมือนกัน ผมเลยอยากให้ทุกอย่างชัดเจนและพี่เปิ้ลได้ลุยงานของตัวเองเต็มที่ครับ รายการรูปแบบใหม่ไม่ใช่ไม่เหมาะกับพี่เปิ้ล แค่เราพัฒนาอยากพัฒนารายการ ไม่ใช่อยากแกล้งพี่เปิ้ล หรือ อยากตัดพี่เปิ้ลออกเลย อย่างที่บอกครับเราอยากให้พี่เค้าได้ลุยเต็มที่กับงานบริษัทครับ"

"ตอนแรกคิดว่ารายการสาระแนจะเปลี่ยนทั้ง 3 คน เลยด้วยซ้ำ แต่พอมาเห็นวันนี้ผมเลยรู้ว่าไม่ควรไปแตะสาระแนอีกเลย"

"ขอโทษแฟนรายการทุกคนและอยากให้ทุกคนเข้าใจ ที่เราทำแบบนี้เพราะเราไม่อยากจะรบกวนพี่เปิ้ลแล้วเพราะตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาพี่เปิ้ลช่วยเราเต็มที่มากครับ แล้วในอนาคตอาจมีพี่เปิ้ลเข้ามาเป็นแขกรับเชิญในรายการก็ได้ เรายังเป็นเพื่อนสนิทกันครับ"

"สาเหตุที่พี่เปิ้ลถอนหุ้นออกจากบริษัทมันมีส่วนเหมือนกันครับ แต่ไม่ใช่เพราะว่าเรามีความลับในบริษัทเลยต้องตัดพี่เค้าออก แต่เป็นเพราะว่าเมื่อถึงจุดนึงผมอยากให้ชัดเจนในไลน์ ในเส้นทางการทำงานของตัวเองครับ ทั้งบริษัทลักษ์666 และบริษัทใหม่ของพี่เปิ้ล"

ทำไมไม่ควงแขนมาพร้อมกัน

"ผมอยากมากครับอยากให้พี่เค้ามาด้วย แต่ไม่มีโอกาสจริง ๆ เพราะผมเพิ่งทราบเรื่องว่ามีคนสงสัยเยอะมาก เลยตัดสินใจให้พีอาร์แจ้งนักข่าวตอนตี 1 ว่าคงต้องตั้งโต๊ะให้นักข่าวได้คลายความสงสัย ซึ่งถ้าในอนาคตหากมีโอกาสดีจริง ๆ ที่เรามีเวลาตรงกันเราคงจะแถลงคู่กัน ครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับการสร้างกระแสแน่นอน เพราะเรื่องนี้ถึงบอกพี่เค้าตอนไหนความรู้สึกความเสียใจยังเท่ากันครับ"

Thank you Sanook.com

บะหมี่น้ำหนึ่งชาม (เรื่่องเล่าของญี่ปุ่น)


บะหมี่น้ำหนึ่งชาม (เรื่่องเล่าของญี่ปุ่น)

   เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว วันที่ 31 ธันวาคม 2528 ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ที่ร้านบะหมี่ " ฮอกไก " บนถนนซัปโปโร การกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี "ร้านฮอกไก" นี้ก็เช่นกัน ในวันนี้คนแน่นร้านแทบทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลงโดยปกติแล้วบนถนนสายนี้คนจะแน่นขนัดไปจนถึงเช้าตรู่ แต่วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน ดังนั้นถนนสายนี้จึงปิดร้านเร็วกว่าปกติ เถ้าแก่ ของร้าน"ฮอกไก"เป็นคนซื่อและเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยใจคอดี ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไปในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้าน ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบา ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน คนหนึ่งประมาณ 6 ขวบกับอีกคนหนึ่งประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้าน เด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ทลายสก๊อตเก่า ๆ เชย ๆ
   "เชิญนั่งครับ" เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า
   "ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมค๊ะ" เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
   "ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ"
     เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า
   "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
     บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่อง สามแม่ลูก นั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย.....กินพลางพูดพลาง
   " ทานเถอะครับ " ลูกคนพี่พูด
   "แม่ทานหน่อยสิครับ" ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม
     จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยนแล้ว ทั้งสามคนก็ชมว่า
   " ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ) " พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป
   " ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ) "
      ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณ ทำงานไปวันแล้ววันเล่ายุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี วันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ในวันส่งท้ายปีเก่า ร้านบะหมี่ "ฮอกไก" ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง 22.00น.กว่า ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่า และเชย เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้วนั่นเอง
   "ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยคะ"
   "ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะคะ"
     เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว โต๊ะเบอร์สอง ตะโกนไปพลางว่า
   "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" เถ้าแก่รับคำพลาง จุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง
   "ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
     เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า
   "นี่ตาแก่ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ"
   "ไม่ได้ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั๊ย" สามีตอบพลาง แล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน เดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม ภรรยาก็พูดขึ้นว่า
   " เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ " ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้นแล้วให้ภรรยายกไปให้  สามแม่ลูก นั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลาง เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย
   "หอมจังเลย…ยอดไปเลย…อร่อยจริงๆ"
   "ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้นับว่าไม่เลวทีเดียว"
   "ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ"
     กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยนแล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป
   "ขอบคุณค่ะ(ครับ)สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
     มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป สองตายายก็ยกเรื่องสามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะหนึ่ง ในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน แต่พอเลย 21.00น.ไปแล้ว สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา พอถึง 22.00น. พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป พอคนกลับไปหมดแล้วเจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียนไว้ว่า
   "บะหมี่ชามละสองร้อยเยน" ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า "บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน" 30นาทีก่อนเถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย "จองแล้ว" ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง เหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขกที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้นแหละ 22.30น. ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฎตัวขึ้น พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อนดูหลวมและไม่พอดีตัว เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม
   "เชิญค่ะ เชิญค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ มองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงกเงิ่นเงิ่นว่า
   "รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ"
   "ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ"
     เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง แล้วรีบเอาป้าย "จองแล้ว" ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า
   "บะหมี่น้ำสองชาม"
   "ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ"
    เถ้าแก่พลางตอบ พลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน สามแม่ลูกกินไปพูดไป ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกัน ในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย
   " ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก"
   " ขอบคุณ ?"
   " ทำไมครับ" เรื่องเป็นอย่างนี้
   “ คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปได้ทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บและทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนทุกเดือน"
   "เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ" ผู้เป็นพี่ตอบ ส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร
   "แต่เดิมนั้นเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว"
   "จริง ๆ หรือครับ แม่"
   "จริงสิจ๊ะ นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์ ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่ ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่นๆ อีก จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด"
   "ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ"
   "ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ ไอ้น้องชาย เราต้องร่วมแรงร่วมใจกันสู้หน่อยแล้วนะ"
   "ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ "
   "แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ คือในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนโรงเรียนของน้อง ได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบผู้ปกครอง คุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า เรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อน ๆ ของน้องนะครับผมถึงทราบ ดังนั้นในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่ ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง" "จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ" "หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ ความปรารถนาของข้าพเจ้า" น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความ แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย" "เรียงความเขียนว่า…หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้ คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหามรุ่งหามค่ำทุกวัน แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์ น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย…"
   "ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันที่ 31 ธันวาคม พวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำ อร่อยมาก…สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก แล้วยังอวยพรวัน ปีใหม่ให้พวกเราอีก เสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไป พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อให้หมดให้เร็วที่สุด…" "ด้วยเหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้นน้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่ แล้วจะต้องเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วยแล้วยังจะให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน…ขอให้มีความสุขครับ…ขอบคุณครับ…"
    สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่จู่ ๆ ก็หายตัวไป พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลยเพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง พยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนทำนบพังนั้นอย่างไม่ลดละ พอน้องอ่านเรียงความจบคุณครูก็พูดว่า  
   "วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่ ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ "
   "จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรหล่ะ"
   "ก็มันกระทันหันเกินไป ตอนแรก ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ผมจึงพูดว่า…ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี น้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวัน ดังนั้นในเวลาที่เพื่อน ๆ ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็นก็มักจะอยู่ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ได้เพราะต้องรีบกลับบ้าน เมื่อเป็นอย่างนี้คงจะทำให้ทุกคนวุ่นวายกันพอสมควร" "เมื่อครู่นี้ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชาม ผมรู้สึกอายมาก แต่พอได้เห็นน้องยืดอกอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่ น้ำหนึ่งชามด้วยเสียงอันดังนั้นจนจบ ถึงได้รู้สึกว่าความรู้สึกอายเมื่อสักครู่นี้ถึงจะเรียกว่าเป็นความอายจริงๆ"
   "หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามนั้นเพื่อกินกันสามคนนั้นผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด ผมและน้องจะต้องขยัน และดูแลแม่เป็นอย่างดี และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ"
    สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่ กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุก ๆ ปี จ่ายเงินไปสามร้อยเยนกล่าวขอบคุณ ค้อมตัวลงเคารพและเดินออกจากร้านไป สองสามี ภรรยา เจ้าของร้านมองตามหลังสามแม่ลูกไป เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริง ๆ พร้อมกับกล่าวว่า
    "ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
     และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง พอถึงเวลา21.00น.ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย"โต๊ะจอง"ไว้บนโต๊ะเบอร์สองและเฝ้ารอคอย การมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคย แต่ในปีนั้นสามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้านเลย ปีที่สอง ปีที่สาม โต๊ะเบอร์สองก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิม สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮอกไกอีกเลย กิจการของร้านฮอกไกดีมาก เรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียว ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่ จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม "นี่มันเรื่องอะไรกัน" ลูกค้าหลายคนต่างก็ถามด้วยความกังขา เถ้าแก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟัง โต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้านเหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่ง และก้อไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจจะกลับมาอีก พวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้าทั้งสามของเขาโต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อว่า "โต๊ะแห่งความสุข" ลูกค้าต่างก็พูดต่อๆ กันไป มีนักเรียนหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้ถึงขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกลมากินบะหมี่ และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้ ผ่านวันที่ 31 ธันวาคม ไปอีกหลาย ๆ ปี พอถึงวันสิ้นปีหลังจากปิดร้านแล้ว เจ้าของร้านค้าในละแวกใกล้เคียงร้านฮอกไก ก็มักจะมารวมตัวฉลองโดยการกินบะหมี่ที่ร้านฮอกไก กินไปพลาง ก็รอเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าไปพลาง แล้วทุกคนก็ไปวัดเพื่อไหว้พระด้วยกัน เป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้ว
     ในวันนี้พอเลย 21.30น.ไปแล้ว เจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อนพร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วย ต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อยๆ เป็นระยะ บ้างก็เอาเหล้ามาบ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมา ปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คน ต่างก็คึกคักกันมาก ทุกคนที่มานั้นต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สอง ทุกคนก็พยายามไม่เอ่ยถึงมันแต่ในใจต่างก็คิดกันว่า วันนี้ "โต๊ะจอง" ตัวนั้นไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอมานั่ง มันคงจะว่างเปล่าเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิม พวกเขาบ้างก็กินเหล้า บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้า ๆ ออก ๆ พอเตรียมกับข้าวกับแกล้ม ต่างก็กินกันไปคุยกันไป พูดเรื่องการค้าบ้าง คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้แม้แต่น้ำทะเลขึ้นลงในระยะนี้บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่ ก็นำมาพูดคุยในวงสนทนา คุยมันทุก ๆ เรื่อง จนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกันเวลาผ่านไปจนถึง 22.30น. ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ ทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกันสายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้าน ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากล พาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน พอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคักในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า
   "ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ" เพื่อปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้น ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโนเดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคน ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า
   "เอ้อ…รบกวน…รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมคะ" ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว ภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำกับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่ ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก
   " พวกคุณ...พวกคุณ " เขาพูดได้เพียงแค่นั้นคำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ ชายหนุ่มหนึ่งในสองคนเห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับเถ้าแก่เนี้ยว่า
   "พวกเราสามคนแม่ลูกที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มาสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับ และพวกเราก็ได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้น พวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้"
   "หลังจากนั้นก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะ ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้ว ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัดแผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโต ปีหน้าเดือนเมษายนก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรแล้ว"
   "วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อและน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้น ขณะนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโต ได้เสนอ ความคิดที่เลิศเลออย่างหนึ่งก็คือ ปีนี้ในวันส่งท้ายปีเก่า พวกเราสามคนแม่ลูกจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ ฮอกไกที่ซัปโปโรและทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย"
     สองตายายฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตู พยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอ แล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า
   "อ้าว…เถ้าแก่… เป็นอะไรไปหล่ะ อุตสาห์เตรียมการมาตลอดสิบปีเพื่อเฝ้าคอยวันนี้ "โต๊ะจอง " ตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะมาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไงรีบ ๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า"
     ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ ตบไหล่ของเถ้าแก่ร้านขายผัก แล้วพูดว่า
   "ยินดีต้อนรับค่ะ…เชิญนั่งข้างในค่ะ…นี่ตาเฒ่า…บะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง" เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า
   "ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม"
     หากดูกันตามจริงแล้ว สิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไปมันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย มันเป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อน คำพูดที่จริงใจและให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำ รวมทั้งคำอวยพรว่า
   “ ขอบคุณค่ะ(ครับ) ” “ สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ) ”
     ก็เท่านั้นเอง แต่มันกลับให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้จมอยู่ในสถานการณ์ คับขันได้สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
     นิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า --- อย่าพยายามมองข้ามตัวเอง ตัวเราเองสามารถมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ได้ บางทีมันอาจจะเป็นแค่เพียงความใส่ใจความห่วงใยอันจริงใจ ของคุณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็สามารถนำพาเอาแสงสว่างอันเจิดจรัสอย่างไม่มีขีดจำกัดมาสู่โลกได้ ด้วยเหตุนี้ความหวังความใฝ่ฝันที่แรงกล้าของพวกเรา … เพื่อนพ้องทั้งหลาย … อย่ามัวเห็นแก่ตัวกันหรือเสียดายมันอยู่เลย หวังว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกเราจะสามารถมอบหัวใจแห่งความรักและความเมตตาที่เราอัดเก็บไว้ในใจมาเป็นเวลานานแสนนานนั้นมอบให้กับคนอื่นด้วยความเต็มใจจุดประกายแห่งความสว่างแก่โลก... ถึงแม้จะเป็นแสงเพียงริบหรี่เท่านั้น แต่สำหรับคืนอันหนาวเหน็บอันเย็นยะเยือกของฤดูหนาว มันเป็นประกายแห่งความอบอุ่นและแสงสว่างอันสุกสกาวจริงๆ ...
     ไงจ๊ะ…อ่านบทความนี้จบแล้วรู้สึกเมื่อยตาบ้างหรือเปล่า บริหารสายตาหน่อย กรอกตาซ้ายไปมา เสร็จแล้วก็หันมากรอกตาขวา หลังจากนั้นก็กรอกตาทั้งสองข้างพร้อม ๆ กัน หากทำแล้วลูกตากระเด็นออกมานอกเบ้าแล้วล่ะก้อไม่ต้องมาหาฉันนะจ๊ะไปหาหมอเถอะ… เรื่องนี้ตอนที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น ทำให้คนญี่ปุ่นรู้สึกประทับใจมานับไม่ถ้วนแล้ว ดังนั้นจึงมีคนพูดกันว่า "ใครที่อ่านนิทานเรื่องแล้วไม่มีใครเลยที่จะไม่หลั่งน้ำตาให้" ถึงแม้คำพูดนี้ออกจะเกินจริงไปบ้าง แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ได้อ่านนิทานเรื่องนี้แล้วรู้สึกประทับใจจริงๆ จนน้ำตาร่วงและน้ำตาที่ร่วงรินเหล่านั้น มันไม่ใช่น้ำตาจากความรันทดใจแต่เป็นน้ำตาที่หลั่งให้แก่ความประทับใจต่อความห่วงใยอย่างจริงใจและน้ำใจไมตรีอันกว้างขวางที่มอบให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน


......http://www.gotoknow.org/blogs/posts/10812

September 18, 2012

รับบริจาค แผ่น cd dvd ที่ไม่ใช้เแล้ว


 รับบริจาค แผ่น cd dvd ที่ไม่ใช้เแล้ว เครื่องคอมพิวเตอร์ และอื่นๆ


 

ปราโมทย์ ไม้กลัด พูดถึง น้ำท่วม 2555

“ปราโมทย์ ไม้กลัด”ติง รัฐบาลระวังติดคุก!!! จะเอา 3.5 แสนล้านมาใช้ แต่ไร้แผนศึกษาแก้ปัญหาน้ำท่วม

ASTV ผู้จัดการรายวัน 15 กันยายน 2555 


เงินชดเชยน้ำท่วมปี 54 ยังได้กันไม่ครบดี ปีนี้คนไทยก็ต้องใจหายใจคว่ำกันอีกรอบ เพราะตอนนี้มวลน้ำก้อนใหญ่ได้เข้าถล่มจนเกิดเป็นวิกฤตอุทกภัยที่สร้างความเสียหายใน หลายพื้นที่ เรียกว่าท่วมไปแล้วถึง 20 จังหวัด ไล่ตั้งแต่เชียงราย เชียงใหม่ แพร่ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร ชัยนาท มาถึงอยุธยา ฯลฯ ขณะที่รัฐบาลซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงก็หาได้มีมาตราป้องกันหรือวางแนวทางรับมือกับน้องน้ำเลยแม่แต่น้อย ปล่อยให้ประชาชนตาดำๆ เดือดร้อนกันถ้วนหน้า
       
       ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและ อุทกภัย หรือ กบอ.ที่มี 'ปลอดประสพ สุรัสวดี' เป็นประธานนั้น มัวไปต่อแพไม้ไผ่อยู่ที่ไหน และเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาทที่ 'รัฐบาลยิ่งลักษณ์' อนุมัติออกมานั้นนำไปใช้อะไร ผ่านไปเกือบปีจึงไม่มีมาตรการอะไรออกมาให้เห็น ตอนนี้จึงหวาดผวากันไปทั้งประเทศว่าคนไทยอาจต้องเผชิญกับวิกฤตมหาอุทกภัยครั้งใหญ่เหมือนปี 54 ที่ผ่านมา !! เพราะการแก้ปัญหาแบบนกแก้วนกขุนทองของรัฐบาล
       
       งานนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำอย่าง อย่าง'ปราโมทย์ ไม้กลัด' อดีตอธิบดีกรมชลประธาน และอดีตผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ได้วิเคราะห์ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งชี้ถึงความอ่อนด้อยในการทำงานของ 'รัฐบาลปูนิ่ม'อย่างถึงลูกถึงคน ชนิดที่เรียกว่า 'สับเละ' ในทุกประเด็น
       
       มองการเตรียมการของรัฐบาลในการรับมือกับปัญหาน้ำท่วมในปีนี้อย่างไร
       
       ดูแล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลยครับ เงินที่กู้มา 3.5แสนล้านบาท ก็ยังไม่มีมาตรการที่เป็นรูปธรรมเลย ยังมองไม่ออกเลยว่ารัฐบาลจะทำอะไร จะแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างไร เพียงแต่ บอกว่ารัฐบาลมีแนวคิดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ตอนนี้รัฐบาลยังไม่มีการศึกษาอะไรเลย ยังต้องผ่านขั้นตอนอีกเยอะ ต้องทำการศึกษา ฟลัดเวย์จะไปทางไหน สิ่งก่อสร้างจำเป็นไหม ไม่มีคำตอบ เพราะไม่ได้มีการศึกษา รัฐบาลบอกว่าจะฟื้นฟูต้นน้ำ จะกักน้ำไว้ที่แหล่งน้ำสำคัญๆ
       
       เช่น ลำน้ำปิง ลำน้ำยม ลำน้ำสะแกกรัง บอกจะสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น สร้างเขื่อนแม่วงก์ (โครงการสร้างอ่างกักเก็บน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำปิง ยม น่าน สะแกกรัง และป่าสัก วงเงิน งบประมาณ5 หมื่นล้านบาท) แต่มันทำไม่ได้เพราะยังไม่ได้ศึกษาวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผลกระทบด้านต่างๆ จึงไม่มีเอกสารข้อมูลอะไรจะไปชี้แจงต่อ สผ.(สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) เพราะโครงการเหล่านี้ต้องผ่านการกลั่นกรองจาก สผ.ก่อน ไม่งั้นจะเอาเงินงบประมาณออกมาได้อย่างไร ตั้งงบไว้ตั้ง 50,000 ล้าน เพราะฉะนั้นมันก็ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ ก็น่าเป็นห่วง หรืออย่างพื้นที่ 2 ล้านไร่ซึ่งจะรองรับน้ำหลาก จะทำอย่างไรเพราะมันเกี่ยวข้องกับสังคมและผู้คน เพราะฉะนั้น เงินกู้ 3.5 แสนล้าน ผมมองไม่ออกว่ารัฐบาลจะเอาเงินออกมาใช้ทำอะไร ที่ไหน แบบไหน ตอนนี้ก็ให้บริษัทเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศเสนอแนวคิดออกแบบก่อสร้างโครงการบริหารจัดการน้ำ ก็ยิ่งไปกันใหญ่ เข้ารกเข้าพงเลย
       
       เห็นว่าทีโออาร์บริหารจัดการน้ำที่ให้บริษัทเอกชนต่างๆ เสนอโครงการเข้ามาก็ไม่มีความชัดเจน
       
       ใช่ครับ รัฐบาลให้บริษัทต่างๆ เสนอกรอบแนวคิดที่จะออกแบบและก่อสร้างระบบระบบป้องกันและจัดการปัญหาอุทกภัย ถามว่าออกจะให้แบบก่อสร้างอะไร บริษัทที่เสนอแผนเขาก็คงจะงงนะครับ สิ่งที่รัฐมนตรีชี้แจงต่อบริษัทที่จะเสนอโครงการก็เป็นไปแบบกว้างๆ วนไปวนมา มันมีแค่กรอบแนวคิด แต่การจะสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ มันต้องมีการศึกษาผลกระทบต่างๆ ทั้งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และผลกระทบต่อชุมชน ซึ่งบริษัทที่ปรึกษาเขาก็ต้องลงพื้นที่เพื่อศึกษาข้อมูลตลอดเส้นทางที่น้ำไหลผ่าน ซึ่งต้องใช้เวลานานมาก เมื่อศึกษาเสร็จปุ๊บก็ต้องผ่านขบวนการรับฟังความเห็นจากประชาชน ให้ประชาชนมีส่วนร่วม ถ้าประชาชนคัดค้านจะทำอย่างไร โครงการมันเกิดไม่ได้ บริษัทที่ปรึกษาเขาก็ตายสิครับ
       
       รัฐบาลให้เวลาบริษัทเอกชนแค่ 3 เดือนในการศึกษาและจัดทำกรอบแนวคิด อาจารย์คิดว่าในทางปฏิบัติเป็นไปได้หรือไม่ 
       
       การจะให้รายละเอียดที่ลึกซึ้งและถูกต้องนั้นไม่ใช่จะใช้เวลาแค่ 2-3 เดือน มันต้องไปดูสภาพปัญหา สภาพภูมิศาสตร์ภูมิประเทศ ทิศทางการไหลของน้ำ ปริมาณฝน รัฐบาลมี ข้อมูลเหล่านี้ให้เขาหรือเปล่า จะให้เขานั่งเทียน ยกเมฆเสนอกรอบแนวคิดมามันก็ไม่ได้อะไรหรอกครับ ผมไม่เข้าใจว่าการทำงานของ กบอ.(คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย) เขาจะขับเคลื่อนไปทางทิศไหน ผมไม่เคยพบไม่เคยเห็น ไม่เคยเจอ ผมก็ทำงานด้านนี้มาตลอด ผมว่ามันจะเสียเวลาเปล่าๆ มันจะไม่ได้อะไร ถ้าเดินไปตามธงที่ตั้งไว้ โครงการมันเกิดไม่ได้ แล้วจะเอางบ 3.5 แสนล้านออกมาใช้ได้อย่างไร ถ้าเอาเงินออกมาใช้จะติดคุกติดตารางกันนะครับ
       
       ทำไมคนที่อนุมัติงบ 3.5 แสนล้านออกมาใช้ ถึงจะติดคุก
       
       คือสมมุติว่าผมเป็นอธิบดีกรมชลประทาน ผมจะอนุมัติงบประมาณที่ใช้ในโครงการต่างๆ โครงการมันก็ต้องมีความน่าเชื่อถือ มีรายละเอียดที่ชัดเจน เป็นไปตามขบวนการอย่างถูกต้อง เป็นเหตุเป็นผล ตอบคำถามได้ สามารถดำเนินการได้จริง เมื่ออนุมัติงบประมาณปุ๊บ ต้องดำเนินการได้เลย และทำได้ตามกรอบเวลาที่กำหนด ถ้าผมหมดวาระไป อธิบดีคนต่อไปเข้ามาทำงานแทน โครงการก็ยังต้องสามารถขับเคลื่อนไปได้ ซึ่งคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติให้มีการก่อสร้างก็เหมือนกัน แต่เห็นการทำงานของคณะกรรมการ กบอ.แล้วผมก็งงว่าตั้งงบ 3.5 แสนล้าน แต่ไม่มีรายละเอียดของโครงการ แล้วจะไประดมกู้เงินมาได้อย่างไร ตอนนี้ประชาชนเขามีความรู้นะ กู้มาทำอะไร ต้องตอบคำถามประชาชนให้ได้
       
       รัฐบาลกำหนดว่าคุณสมบัติของบริษัทที่จะดำเนินโครงการจะต้องมีประสบการณ์ผ่านงานออกแบบพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 3 หมื่นล้านบาท และแต่ละผลงานต้องมีมูลค่าการก่อสร้างไม่ต่ำกว่าผลงานละ 2 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทที่จะมีคุณสมบัติดังกล่าวก็มีแต่ต่างชาติเท่านั้น 
       
       ถ้ากำหนดว่าบริษัทที่จะทำโครงการจะต้องมีประสบการณ์ผ่านงานออกแบบพัฒนาแหล่งน้ำที่มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 3 หมื่นล้าน มีผลงานก่อสร้างมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 พันล้าน ก็แปลว่ารัฐบาลอยากได้บริษัทที่มีความมั่นคง มีเงินลงทุนสูงเข้ามาทำโครงการก่อสร้างใช่ไหม ถามว่าก่อสร้างอะไร การแก้ปัญหาน้ำท่วมมันต้องทำการศึกษา การศึกษามันใช้สมอง ไม่ใช่เอาเงินทุนมาวางเดิมพัน ต้องศึกษาและวางระบบให้เป็นรูปธรรม ซึ่งต้องมีฐานข้อมูล และต้องใช้เวลา อย่างน้อยๆ แต่ละแผนงาน แต่ละโครงการเนี่ย ศึกษา 2 ปีก็ไม่เสร็จ นี่ไม่นับรวมขั้นตอนการออกแบบก่อสร้างนะ ฟลัดเวย์จะไปทางไหน แบบไหน อย่างไร ไม่ใช่อยู่ๆออกมาเป็นกรอบความคิด บอกให้ไปทางนั้นทางนี้ ถูกหรือผิดก็ไม่รู้ เมื่อศึกษาและได้ข้อมูลชัดเจนแล้วว่าฟลัดเวย์ควรไปทางไหนก็ต้องศึกษาทางด้านวิศวกรรมว่าวิศวกรรมแบบไหนดีที่สุด จากนั้นก็ต้องสำรวจว่าผลกระทบต่อผู้คนจะมีกี่พันครอบครัว จะเวนคืนได้ไหม ใช้เงินเท่าไร ชาวบ้านจะว่าอย่างไร 2 ปีก็ไม่เสร็จ
       
       อย่างจะสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น สร้างเขื่อนแม่วงก์ กว่าจะผ่านการพิจารณาของ สผ.ต้องใช้เวลานานนะครับ ไม่ใช่อยู่ๆ จะให้ผ่าน แล้วโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ รัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรค 2 กำหนดไว้ชัดเจนว่า ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม จะดำเนินการทันทีไม่ได้ แต่นี่พื้นที่ที่จะสร้างเขื่อนมันอยู่ในอุทยานแห่งชาติ ยิ่งไปกันใหญ่เลย
       
       โครงการขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมจะลากจอบลากเสียมก่อสร้างไปโดยไม่คำนึงถึงอะไรเลยมันทำไม่ได้ รัฐบาลรู้หรือเปล่า หรือรัฐบาลรู้แต่แกล้งทำไม่รู้
       
       ดูจากเงื่อนไขในการตัดเลือกบริษัทที่จะทำโครงการ บริษัทที่จะได้รับเลือกน่าจะเป็นบริษัทต่างชาติ แต่ ในความเป็นจริงข้อมูลน้ำในประเทศไทย คนไทยน่าจะรู้ดีกว่า
       
       ถูกต้อง ต่างชาติเขาจะมารู้ดีกว่าคนไทยได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาด้านภูมิสังคม ทั้งภูมิศาสตร์ ภูมิประเทศ ความอ่อนไหวของสังคม เขายิ่งไม่รู้ใหญ่ ต่างชาติเขาจะรู้ได้ยังไง ข้อมูลน้ำเขาก็รู้ไม่ลึกซึ้ง รู้แต่ทฤษฎี รู้ไม่จริง รู้จากการบอกเล่า ยังไงคนไทยเราก็รู้ ดีกว่า ถามว่าประเทศอื่นๆ ที่เขาเจอวิกฤตอุทกภัยเขาเคยจ้างต่างชาติไปศึกษาและทำโครงการไหม ไม่ว่าจีน ญี่ปุ่น เขาก็ใช้บุคลากรในชาติเขาเอง มันก็แปลกนะเมืองไทย บุคลากรในชาติก็มีแต่ไม่ใช้ ไปใช้ใครก็ไม่รู้ ผมถึงบอกว่าหลงทางกันหรือเปล่า
       
       หลายคนสงสัยว่าทำไม่ใช้กรมชลประทานซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับน้ำและโครงการแก้ไขปัญหาน้ำ ท่วมต่างๆ อยู่แล้ว ต้องไปเสียเงินจ้างต่างชาติให้มาศึกษาข้อมูลทำไม
       
       องค์กรที่มีความรู้เกี่ยวกับน้ำมากที่สุดก็คือกรมชลประทาน ที่ผ่านมาแผนงานและโครงการในการรับมือกับปัญหาน้ำท่วม กรมชลประทานเป็นผู้ดำเนินการมาตลอด ผลงานของกรมชลประทานทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนเจ้าพระยา แผนงานอะไรต่างๆ ผลงานของกรมชลประทานทั้งนั้น ผมเองในขณะที่เป็นอธิบดีกรมชลประทานก็เข้าไปสานงานต่อจากรุ่นพี่ที่ทำกันไว้ ผมก็วางโครงการในภาคเหนือ ภาคอีสาน อ่างเก็บน้ำ ก็ทำไว้เต็มไปหมด ก็วางระบบไว้ให้พอสมควร ขับเคลื่อนด้วยตัวเองบ้าง เป็นลูกน้องเขาบ้าง มีผู้บังคับบัญชาใช้บ้าง มาถึงรุ่นหลังเขาก็สานต่อ การบรรเทาอุทกภัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ทางกรมชลประทานกับกรุงเทพมหานครช่วยกันทำ วิกฤตน้ำท่วมปี 2538 น้องๆปี 54 นะ กรมชลประทานกับ กทม. 2 หน่วยงานเท่านั้นแหล่ะครับยันอยู่เลย จนมาถึงปี 2554 นี่แหล่ะครับ ที่มาปรับเปลี่ยนนี่นั่น ไม่รู้รัฐบาลมองยังไง เกิดวิกฤตการณ์ปี 54 ก็ชุลมุนวุ่นวาย ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ตอนนี้รัฐบาลเอาใครมาก็ไม่รู้ แม้แต่การประชุมหน่วยงานในการแก้ปัญหาน้ำท่วมตอนนี้ก็ผิดเพี้ยนกันไปหมด
       
       ได้ยินว่าคณะกรรมการ กบอ. (คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย) แทบจะไม่มีเจ้าหน้าที่ของกรมชลประทานอยู่เลย
       
       เวลานี้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เป็นแม่งานในการแก้ปัญหาน้ำท่วม บุคลากรในนั้น (กบอ.) ก็เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่ตัวแทนจากกรมชลประทานก็คงต้องมี ไม่มีไม่ได้หรอก อย่างน้อยอธิบดีกรมชลประทานก็ต้องอยู่ในนั้น ส่วนจะมีบทบาทขนาดไหน ผมคิดว่าไม่มีหรอก เพราะระบบของเขา(กบอ.) เป็นซิงเกิล คอมมาน (ศูนย์สั่งการเพียงจุดเดียว) สั่งการจากไหนก็อย่างที่เห็นๆ กันอยู่ ส่วนกรมชลประทานก็มีหน้าที่ทำตามคำสั่งเท่านั้น คงไม่เข้าไปมีบทบาทเท่าไหร่หรอก จากที่ดูพฤติกรรมที่ผ่านมาก็น่าจะเป็นอย่างนั้น
       
       มีข่าวทำนองว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ไว้ใจกรมชลประทาน เพราะมองในเชิงการเมืองว่ากลัวจะถูกวางยา จึงทำให้กรมชลประทานไม่สามารถเข้าไปวางแผนในการแก้ปัญหาน้ำท่วมได้
       
       รัฐบาลไม่รู้เรื่องว่าน้ำจากปิง วัง ยม น่าน มันมายังไง มวลน้ำ ยุทธศาสตร์น้ำปี 54 มันเป็นยังไง กรมชลประทานเขาไม่ได้วางยาหรอกครับ บริหารน้ำจัดการน้ำไม่ดีเกิดจากที่รัฐบาลพูด รัฐบาลก็บอกกรมชลฯบริหารจัดการน้ำไม่ดี น้ำจำนวนมหาศาลจะผลักไปทาง ไหน บริหารน้ำด้วยปากมันไม่ได้ เขื่อนสิริกิติ์กักน้ำช่วยบรรเทาไว้ตั้งเยอะแยะ มาบอกว่า กรมชลฯบริหารน้ำเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ผิดพลาด โอ้ย...คุณมาพูดตอนเดือนธันวาคม (2554) นี่ ทำไมไม่พูดตั้งแต่เดือน กันยายน สิงหาคมล่ะ มาพูดเอาตอนหลัง แสดงว่าไม่ใช่คนทำงานนี่ แล้วเขารู้หรือเปล่าว่าอะไรเป็นยังไง ผมว่าที่รัฐบาลพูด ไม่รู้เรื่องมากกว่า
       
       ก็เห็นอยู่ว่าเมื่อปีที่แล้ว ความชุลมุนชุลเกมันเกิดขึ้นเพราะหลายหน่วยงานลงไปกันเยอะ แต่ละคนที่เข้าไปก็ไม่เข้าใจงาน ต่างคนต่างทำ ลมเพลมพัด ตอนนั้นควรจะมีแม่ทัพบัญชาการเรื่องน้ำ แต่กลับไม่มีแม่ทัพ เพราะฉะนั้นมันก็เลยชุลมุนวุ่นวาย ผมก็ทนไม่ได้ ผมก็ ลงไปเสนอว่าน้ำมันจะโจมตีกรุงเทพฯ เอาไมอยู่หรอก ทำไมไม่ผันน้ำไปด้านทิศตะวันออก ของกรุงเทพฯ ซึ่งมันเป็นเป็นฟลัดเวย์ธรรมชาติ ในอดีตก็ใช้เส้นทางนี้ในการระบายน้ำ น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2538 กรุงเทพฯ ก็เลยอยู่รอดปลอดภัย ซึ่งรัฐบาลก็เห็นด้วย แต่ทำไม่ได้เพราะไม่มีแม่ทัพที่จะสั่งการ คนนั้นกัก คนนี้กั้น นักการเมืองท้องถิ่น นักการเมืองต่างพรรค โอ้ย...ไม่รู้จะว่ายังไง สิ่งที่มันเกิดขึ้นก็เพราะบริหารจัดการไม่เป็น มันเป็นวิกฤตระดับประเทศ แต่การทำงานของรัฐบาล เรียกว่าใช้ไม่ได้ก็แล้วกัน
       
       แล้วท่านปลอดประสพ (ปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย) ไม่ใช่แม่ทัพหรือ
       
       โห..แม่ทัพแม่เทิบอะไรกัน อย่าไปพูดถึงท่านเลย ท่านไม่ใช่ก็แล้วกัน หาคนสั่งการไม่มี ทุกคนเห็นด้วยกับที่ผมเสนอหมด แต่ไม่มีใครสั่งการ ตอนนั้นท่านปลอดประสพก็อยู่ ที่ผมพูดเรื่องนี้เพราะที่ผ่านมาน่ะผมเจอวิกฤตน้ำมาเยอะ ทีมงานของกรมชลประทานเขาก็ บริหารจัดการ สมัยก่อนไม่มีรัฐบาลท่านไหนเข้ามายุ่งหรอกครับ แม่ทัพของผมก็คืออธิบดี สมัยที่ผมเป็นอธิบดีกรมชลประทานไม่ได้เกิดวิกฤตน้ำท่วม แต่สมัยที่ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ของผม เป็นอธิบดีเกิดอุทกภัยใหญ่ ผมเป็นเสนาธิการก็คิดว่าจะทำยังไง แล้วก็เสนอไปยังท่านอธิบดี อธิบดีก็สั่งการลงมา เราก็ปฏิบัติ มันก็เรียบร้อย เพราะมีแม่ทัพ แต่วิกฤตการณ์ปีที่แล้วนี่ผิดกันครับ บริหารไม่เก่ง ทำสงครามสู้กับน้ำ กรุงจะแตก แต่ไม่มีแม่ทัพ รบก็แพ้ทุกกรณี อดีตลูกน้องผมจะเดินทางลงไปดูพื้นที่กลับต้องมานั่งเขียนรายงาน นั่งเขียนรายงานในขณะที่กรุงกำลังจะแตก ผมก็ถามว่าทำไมไม่ลงไปทำงานในสนาม มานั่งเขียนรายงานทำไม เขาบอกต้องเขียนรายงานให้ท่านนายกรัฐมนตรีทราบทุกวันว่าทำอะไรไปบ้าง โอ้ย...อย่างนี้กรุงแตกแน่ แล้วอีกไม่นานสนามบินดอนเมืองก็แตก เพราะบริหารงานไม่เป็น
       
       แปลว่าถ้าปล่อยให้กรมชลประทานทำงานไปโดยที่รัฐบาลไม่เข้าไปยุ่ง วิกฤตน้ำท่วมแบบปีที่ แล้วก็อาจจะไม่เกิด 
       
       คือถ้ากรมชลประทานมีบทบาทในการรับผิดชอบอย่างเต็มที่ตั้งแต่แรก ประคับประคองเหตุการณ์ จัดการได้ สถานการณ์อาจจะดีก็ได้ แต่ไปละเลงกันจนเลอะเทอะหมดแล้ว ทุกอย่างมันกระเจิดกระเจิงหมดแล้ว กรมชลฯ หน่วยงานเดียวก็แก้ไม่ได้
       
       ตอนนี้คนก็รู้สึกสับสนกับการทำงานของคณะกรรมการน้ำชุดต่างๆ ไม่รู้ว่าคณะกรรมการชุด ไหนมีหน้าที่รับผิดชอบกันแน่
       
       คือเดิมก็มี กยน.หรือคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ทำหน้าที่วางแผนในการบริหารจัดการน้ำ แล้วก็มีการตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เป็นคณะทำงานในภาคปฏิบัติ นอกจากนั้นยังมีคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) เป็นคณะกรรมการใหญ่ดูแลนโยบาย แต่ตอนนี้ยกเลิก กยน.ไปแล้ว เหลือแต่ กบอ. และ สบอช. โดย กบอ.ซึ่งป็นคณะทำงานในภาคปฏิบัติ ก็จะมีหน้าที่บัญชาการทั้งหมด หน่วยงานระดับกรมต่างๆที่มีอยู่ก็ต้องทำตามที่ กบอ.เห็นชอบ แต่ถ้าถามผมว่าขับเคลื่อนไปถูกทางหรือเปล่า ผมก็วิจารณ์มาตลอดว่ากำลังหลงทาง หมายความว่ามันไม่สามารถขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ชัดเจน แก้ปัญหาไม่ทันเวลาและไม่สามารถแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เราต้องการขบวนการที่แก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ปี 55 นี่ไม่ต้องพูดถึงหรอก ทำได้เท่าไรเอาเท่านั้น มีคนถามผมว่าปีนี้รัฐบาลจะรับมืออุทกภัยหนักได้ไหม ตอบได้เลยว่าไม่ได้หรอกครับ เวลานี้พื้นที่ส่วนใหญ่ยังอยู่รอดปลอดภัยเพราะธรรมชาติเขายังเมตตาปราณี
       
       คิดว่าการทำงานของ กบอ.ผิดพลาดตรงไหน
       
       ผมยังไม่อยากเรียกว่าผิดพลาดนะ แต่อยากจะเรียกว่ามันไม่ชัดเจน เพราะว่าแผนการรับมือกับอุทกภัยในอนาคตเป็นแผนถาวรและยั่งยืน มันต้องมีความชัดเจน ผมพูดเสมอว่าอุทกภัยหนักขนาดน้องๆ ปี 54 เกิดขึ้นแน่ ไม่รู้ปีไหน เพราะอดีตมันบ่งบอกชัดเจนว่าความถี่ของการเกิดผลกระทบที่รุนแรงในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างมันเกิดขึ้นทุกๆ 3 ปีนะ เพราะฉะนั้นแผนการรับมืออย่างยั่งยืนต้องชัดเจน ถูกต้อง เป็นไปตามลำดับขั้นตอน เวลานี้มันทำแบบก้าวกระโดด ลืมขั้นตอนที่ 1 ขั้นตอนที่ 2 มีการออกประกาศทีโออาร์ให้เอกชนเสนอแผนบริหารจัดการน้ำ (กรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย) ซึ่งมีการระบุถึงโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำและเขื่อนขนาดใหญ่ โดยที่ยังไม่มีการศึกษาอะไรเลย ให้ บริษัทเอกชนทั้งไทยและต่างชาติออกแบบก่อสร้างระบบบริหารจัดการน้ำ แบบแผนที่เสนอ มาจะถูกหรือผิดยังไม่รู้เลย เพราะยังไม่ได้มีการศึกษา ที่ กบอ.คิดมา มันเป็นการคิดแบบตั้งธงเอาไว้แล้ว แล้วแบบนี้จะไปขับเคลื่อนโครงการอย่างไร จะให้เอกชนออกแบบก่อสร้างอะไร เดี๋ยวก็เหมือนโครงการโฮปเวลล์หรอก กลายเป็นอนุสาวรีย์ที่ใช้การอะไรไม่ได้
       
       อย่างโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ หรือโครงการพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง ที่พวกผม (กรมชลประทาน) ทำกัน ก็ทำกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มต้นจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีรับสั่งให้ไปคิด ไปศึกษาวิเคราะห์ ทำแล้วจะมีผลดีผลเสียอย่างไร ผลกระทบทบแต่ละด้านเป็นยังไง ชาวบ้านมีความเห็นอย่างไร ต้องผ่านความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ศึกษาวิเคราะห์ทุกจุดกว่าจะเกิดเป็นโครงการ การบริหารจัดการน้ำและปัญหาอุทกภัยคุณคิดว่ามันง่ายหรือ กบอ.เสนอมาเป็นกรอบแนวคิด แนวคิดที่จะทำแบบนั้นแบบนี้ แต่ดันไปเรียกว่า 'แผนแม่บท' ตายล่ะ !! แผนแม่บทคือแผนที่ผ่านการศึกษากลั่นกรองมาเรียบร้อยแล้ว แต่แผนงานที่ กบอ.เสนอเป็นแผนที่ศึกษาอยู่แค่บนโต๊ะ ทำไปแล้วล้มเหลวก็ต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ เสียทั้งเงินเสียทั้งเวลา
       
       ดูแล้วการแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลนี้มุ่งแต่เรื่องโครงการก่อสร้างเป็นหลัก โดยไม่ได้สนใจศึกษารายละเอียดและสภาพปัญหาตามข้อเท็จจริง ซึ่งต่างจากโครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ตามแนวพระราชดำริขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งพระองค์ทรงศึกษาข้อมูลต่างๆ โดยละเอียดทุกพื้นที่ก่อนจะมีโครงการขึ้นมา
       
       โครงการพระราชดำริต่างๆของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น พระองค์ทรงรับสั่งกับเจ้าหน้าที่ที่ทำงานว่า “ พระราชดำริ คือแนวคิดของพระราชา แนวคิดของฉันนะ ฉันคิดว่ามันน่าจะทำอย่างนี้ แต่พระราชดำริไม่ใช่พระบรมราชโองการนะ เพราะฉะนั้นต้องไปวิ เคราะห์ให้ดี คิดให้รอบคอบ ศึกษาให้ละเอียด ถ้าทำแล้วมันแก้ปัญหาได้จึงค่อยทำ ” แต่นี่ยังไม่ได้ทำอะไรกันเลย แต่ไปตั้งงบรอไว้แล้ว 3.5 แสนล้าน มันอะไรกัน
       
       แม้แต่โครงการแก้มลิง ซึ่งเป็นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็พูดกันผิดหมด โครงการแก้มลิงในพระราชดำริของพระองค์ท่านไม่ได้เป็นอย่างที่รัฐบาลพูดนะ ไม่ว่าจะเป็นแก้มลิงที่นครสวรรค์ แก้มลิงที่ จ.พิจิตร หรือแก้มลิงบางระกำ จ.พิษณุโลก ที่รัฐบาลพูด มันไม่ใช่ แก้มลิงในความหมายของในหลวงคือพื้นที่รับน้ำจากอุทกภัยมาเก็บ ไว้ แต่น้ำเหล่านี้ต้องสามารถระบายออกไปได้ เพื่อที่จะรับน้ำใหม่เข้ามา ไม่ใช่บึงที่น้ำไหลลงมา ขัง ออกไปไหนไม่ได้ อย่างที่รัฐบาลทำอยู่ อย่างนี้มันแก้น้ำท่วมไม่ได้

September 16, 2012

น้ำท่วม 2554

สาเหตุวิกฤตน้ำท่วม 2554 ที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ มากกว่าการที่พูดว่า ประเมินสถานการณ์ผิด


Read  ตอน 1 http://www.oknation.net/blog/anonym/2011/10/14/entry-1

Read ตอน 2 http://www.oknation.net/blog/anonym/2011/10/18/entry-1





ฝั่งตะวันตก แม่น้ำเจ้าพระยา น้ำจะท่วมไหม

พิจารณาว่า นนทบุรี ตะวันตก จะโดนน้ำท่วมหรือไม่

1.อัตราเร็วน้ำเจ้าพระยาไหลผ่านที่บางไืทร เกิน 3000 ลบม/วินาที
2.น้ำไหลเข้าท่วม อ สามโคก ปทุมธานี เน้นตัวอำเภอ
3.ต่อมาน้ำไหลเข้าท่วม อ เมือง ปทุมธานี



ที่อยู่ริมเจ้าพระยา อาจมีน้ำล้นตลิ่งบ้าง
พื้นที่ที่อยู่ริมแม่น้ำลำคลอง ที่ไม่มีประตูปิดเปิดระบายน้ำ


คัดลอก และรีไรท์ จาก sunsetbeach Pantip.com
กย 2555

(เพิ่มความเห้นส่วนตัว หากถ้าไม่มีกั้น(เป็นพิเศษ)ที่ประตูน้ำจุฬาฯ ประตูน้ำรังสิต คลองรพีพัฒน์ เพื่อไม่ให้น้ำไหลผ่านไปออกทางด้านตะวันออก ซึ่งมีโครงการพระราชดำริ ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมมาหลายปีแล้ว แต่คนบางจำพวก แกล้งทำมึน บอกว่าน้ำมามากล้น ต้องท่วมซ้ำซาก

เงินกู้3แสนห้าหมื่นกว่าๆล้านบาท กับ แก้มลิงรอบๆ  ที่ว่าะทำ อยู่ที่ไหนบ้างเนี่ย เห้นข่าวท่วมกันเรียงตามลำดับ กลายเป็นอ่างเก็บน้ำทั่วไทย ) 


ลอกมา..เปลี่ยนแปลงบางคำ...

ถ้าปีนี้ (2555) บางใหญ่ กาญจนาภิเษก ท่วมเป็นทะเลเหมือนปีก่อน
แล้ว...ทีมชุดเดิมยังหน้าด้าน ลอยหน้าบริหารประเทศแบบงูๆ ปลาๆ อีก
ก็จะกรวดน้ำ คว่ำขัน ให้มันไปเกิดซะ เร็วๆ0...
จาก Pantip


September 14, 2012

"ไม่บอกรักแต่ไม่เคยทิ้งกัน ..

"ไม่บอกรักแต่ไม่เคยทิ้งกัน ดีกว่าบอกรักทุกวัน แต่ทิ้งกันทุกที..."ดีเจพี่อ้อย Greenwave

น้ำส้มสายชู

น้ำส้มสายชูมีประโยชน์มากมาย ไม่ใช่แค่รับประทานได้อย่าง
เดียวแต่น้ำส้มสายชูมีประโยชน์สารพัดประการ ที่นำมาบอกเล่า
กันในวันนี้เป็นส่วนหนึ่งของประโยชน์ของน้ำส้มสายชูเท่านั้นนะ
ค่ะ ยังมีอีกมากมายเอาไว้จะมาสาธะยายใหม่อีกในคราวหน้าค่ะ

1. ป้องกันสีผ้าตก
 เสื้อผ้าสี เวลาซักสีอาจตกใส่เสื้อตัวอื่น วิธี
แก้ให้ใช้น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย ผสมกับน้ำ 1 กะละมัง จากนั้นแช่ผ้า
สีทิ้งไว้ 15 นาที แล้วซักตามปกติ วิธีจะทำให้สีเสื้อไม่ตกค่ะ

2. เปลี่ยนผ้าสีหมองให้ขาวสะอาด เสื้อผ้าสีขาวเมื่อใช้ไป
นานๆมักเป็นสีขาวขุ่น หากต้องการให้กลับมามีสีขาวสว่างดัง
เดิมให้ผสมน้ำส้มสายชูในปริมาณเท่ากับน้ำยาซักผ้าขาวรวม
กับผงซักฟอกแช่ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วซักตามปกติ จะช่วยให้สี
ผ้ากลับมาขาวสะอาดขึ้นค่ะ ใครมีสีผ้าที่ไม่ขาวสดใสลองวิธี
นี้ดูนะค่ะ

3. ลบคราบเหลืองที่ใต้รักแร้เสื้อ เหงื่อ หรือโรลออน มักจะทำ
ให้เสื้อบริเวณรักแร้เป็นคราบเหลือง วิธีแก้คือ ใช้น้ำส้มสายชูทา
ตรงรอยเปื้อนให้ชุ่ม ทิ้งไว้ 5-10 นาที จากนั้นซักตามปกติ รอย
เปื้อนก็จะหายไปค่ะ

4. เพิ่มความนุ่มให้แปรงสีฟัน ใครที่มีปัญหาซื้อแปรงสีฟันมา
ใหม่แล้วขนแปรงแข็งทิ่มเหงือก ให้นำแปรงสีฟันไปต้มในน้ำส้ม
สายชู 5-10 นาที จะช่วยให้ขนแปรงที่แข็งนิ่มลงได้ค่ะ

5. แก้ปัญหาไข่ติดเปลือก ไข่ที่สดและใหม่มากเกินไป เวลาที่
เรานำมาต้มมักมีปัญหาปอกเปลือกยาก ทำให้ไข่เป็นรอยขรุขระ
ไม่น่ารับประทาน วิธีแก้คือ เติมน้ำส้มสายชูครึ่งช้อนชาลงในน้ำ
ต้มไข่ จะช่วยให้เปลือกไข่ล่อนปอกได้ง่ายขึ้นค่ะ

6. เพิ่มความกรอบให้ผักผลไม้ วิธีคือ ผสมน้ำส้มสายชู 1ช้อน
ชา กับน้ำ 1 กะละมังเล็ก แช่ผักและผลไม้ที่ต้องการทิ้งไว้สัก 5-
10 นาที จากนั้นนำไปล้างน้ำอีกครั้ง เพียงแค่นี้ก็จะได้ผักผลไม้ที่
กรอบอร่อยได้ง่ายๆ แล้วล่ะค่ะ

7. แก้ปัญหาเนื้อปลาเละ เวลาต้มปลาหลายท่านคงเคยเจอ
ปัญหาเนื้อปลาเละ วิธีแก้คือ ใส่น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโตีะ ลงใน
น้ำต้มปลา นอกจากจะทำให้เนื้อปลาไม่เละแล้ว ยังทำให้เนื้อ
ปลามีสีขาวน่ารับประทานอีกด้วยค่ะ

วิธีทดสอบน้ำส้มสายชูว่าปลอมหรือไม่ โดยการหั่นพริกสด
หรือเด็ดใบผักชีแช่ในน้ำส้มสายชู ถ้าน้ำส้มสายชูยังใสแจ๋วพริก
หรือใบผักชียังสด แสดงว่าเป็นน้ำส้มสายชูแท้ แต่ถ้าน้ำส้มสาย
ชูขุ่น พริกหรือใบผักชีเหี่ยวเปื่อยยุ่ย แสดงว่าเป็นน้ำส้มสายชู
ปลอม

ขอขอบคุณ http://narakbeauty.blogspot.com/2009/06/blog-post_21.html

น้ำส้มสายชู สุดยอด


น้ำส้มสายชูแท้ กับน้ำส้มสายชูปลอมทำจากอะไร

น้ำส้มสายชู เป็นของจำเป็นที่ต้องใช้ประจำ จึงมีผู้คิดหากำไรจากการขายน้ำส้มสายชูปลอม โดยใช้กรดกำมะถันเพียงเล็กน้อยผสมน้ำมากๆ ก็จะได้รสเปรี้ยวจัด เนื่องจากต้นทุนต่ำมาก จึงขายได้ในราคาถูกกว่าน้ำส้มแท้ ขายเพียงขวดละไม่กี่บาท ก็ได้กำไรสูง

ส่วนน้ำส้มสายชูแท้คือ กรดอาซิติก ซึ่งได้จากการหมักผลไม้ต่างๆ หรือการหมักอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว น้ำมันมะพร้าว หรือกากน้ำตาล บางครั้งเรียกว่า น้ำส้มสายชูหมัก

การเลือกซื้อน้ำส้มสายชู

1. ศึกษาฉลาก ชื่อสามัญทางการค้า เครื่องหมายการค้า เลขทะเบียนอาหาร เครื่องหมายมาตรฐานการค้า ผู้ผลิต ผู้แทนจำหน่าย วันหมดอายุ ปริมาตรสุทธิ

2. สังเกตความใสไม่มีตะกอนขวดและฝาขวดของน้ำสมสายชูไม่สึกกร่อน ผลึกสีขาวรูปร่างคล้ายกระดูกของผงชูรส

วิธีการทดสอบน้ำส้มสายชู 

นำ น้ำสมสายชูที่สงสัยใส่ภาชนะ หยดน้ำยาเยนเชียนไวโอเลตสีม่วงลงไปในน้ำส้มสายชู ถ้าไม่เปลี่ยนสีเป็นน้ำส้มสายชูแท้ ถ้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวหรือสีน้ำเงินเป็นน้ำส้มสายชูปลอม หรือใส่ผักชีลงไปในน้ำสมสายชูแล้วสังเกตการเปลี่ยนสี ถ้าน้ำส้มสายชูปลอมผักชีจะเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองและจะไหม้อย่างรวดเร็ว
------------
ความจริงเกี่ยวกับการดื่มน้ำส้มสายชูหมัก               
“ทันทีที่คุณดื่มน้ำส้มสายชูหมัก คุณจะรับรู้ได้ถึงความอ่อนเพลียของร่างกายจะถูกค่อย ๆ กำจัดทิ้งไปทีละน้อยและจะหมดไปภายใน
สองชั่วโมง”คุณสามารถยืนยันปรากฎการณ์นี้ง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเอง โดยสังเกตปัสสาวะของคุณก่อนดื่มและหลังดื่ม จะมีสีต่างกัน นั่นคือ
เมื่อคุณดื่มน้ำส้มสายชูแล้ว 1-2 ชั่วโมงให้หลัง ปัสสาวะจะเริ่มใสขึ้น หรือหากคุณขี้สงสัยอยากดูให้ละเอียดมากขึ้นอีก ก็สามารถเช็คง่าย ๆ
ด้วยกระดาษลิตมัส ก่อนและหลังดื่มน้ำส้มสายชู จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าภายหลังดื่มแล้ว ปัสสาวะจะมีฤทธิเป็นด่างมากขึ้นซึ่งก่อนดื่ม
จะมีฤทธิเป็นกรด  ฉันใดก็ฉันนั้น สำหรับปัสสาวะและโลหิตของเรา ก็จะมีปฎิกิริยาที่คล้ายกันก่อนดื่มโลหิตของเราในขณะที่อ่อนเพลีย
จะมีฤทธิเป็นกรด และภายหลังดื่มน้ำสัมสายชูหมัก ก็จะมีฤทธิเป็นด่างขึ้น นั่นก็แสดงว่า จะต้องมีสารตัวใดตัวหนึ่งที่ทำให้ร่างกายของเรา
รู้สึกอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และทันทีที่เราดื่มน้ำส้มสายชูก็จะเกิดปฎิกิริยาทางเคมีบางอย่างที่สามารถ ขจัดสารตัวนั้นออกไป



“ ดื่มน้ำส้มสายชูหมัก ช่วยกำจัดกรด แลคติค (lactic) และเป็นผู้ช่วยชั้นเยี่ยมของตับ “
ก่อนอื่นต้องเป็นที่เข้าใจโดยทั่วไปแล้วว่า ตับจะมีหน้าที่กำจัดสารพิบต่าง ๆ ในร่างกาย รวมถึงสารที่ทำให้ร่างกายมนุษย์อ่อนเพลียด้วย
ซึ่งตัวการนี้เราเรียกว่ากรดแลคติค(lactic) ซึ่งเราต้องระมัดระวังไม่ให้ตับของเราเสียหาย หรือทำงานหนักขึ้น ซึ่งไม่มีอะไรมาทดแทนได้
หากผิดปกติขึ้น ดังนั้นจึงควรหาทางให้ตับทำงานได้ดีตลอดเวลา รับประทาน เนื้อ, ปลา, ไข่, น้ำมันมะพร้าว, ผักใบเขียว และดื่มน้ำสัมสายชูจะทำให้ตับทำงานได้สมบูรณ์มากขึ้นหรือเรียกตามภาษาชาว บ้านว่าอาหารบำรุงตับ

ทฤษฎีของเครบ (Kreb’s theory)

ดร.เครบ นักวิทยาศาสตร์ รางวัลโนเบิลชาวอังกฤษได้ค้นพบทฤษฎีนี้ตั้งแต่คศ.1953ดร.เครบได้อธิบายถึง ทำไมการดื่มน้ำสัมสายชู
ช่วยขจัดความอ่อนเพลียของร่างกายเขาได้อธิบายถึงกระบวนการที่อาหารที่เรารับประทานเปลี่ยนไปเป็นพลังงานหรือการ
เผาผลาญอย่างละเอียดและรวมไปถึงความลับที่ทำใหร่างกายมนุษย์รู้สึกอ่อนเพลีย และวิธีการกำจัดมัน จากการค้นพบของ ดร.เครบ
ทำให้นักวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศญี่ปุ่น ศจ.ฮิชิโร อาคิตานิ จากมหาวิทยาลัยโตเกียวได้ทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตพยายาม
ให้คนญี่ปุ่นดื่มน้ำส้มสายชูหมักมากเท่าที่จะมากได้ จึงเป็นที่มาของวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่นิยม ดื่มกัน
ทั้งเกาะและก่อให้เกิดปัญหาตามมาคือ “คนแก่ล้นเมือง” อายุยืนยาวเป็นร้อยปี ที่นี้เรามาดูการทำงานอันมหัศจรรย์ของร่งกายเรา



เริ่มต้นที่เรารับประทานอาหารเข้าไปทำการย่อยเพื่อเปลี่ยนแป้งเป็นกลูโคส โปรตีนก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นกรดอมิโนอีก 20 ชนิด
ไขมันจะถูกเปลี่ยนไปเป็นกลีเซอรรีน และกรดไขมัน 
อาหารต่าง ๆ เหล่านี้ก็จะถูกเผาผลาญและเปลี่ยนไปเป็นสาร ที่เรา
เรียกว่า ATP (Adenocine triphosphate) ซึ่งให้พลังงานออกมาในรูปความร้อน  บางส่วนก็นำไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
เมื่อต้องการเช่น โปรตีนอาหารเกือบทั้งหมดที่เรารับประทานจะถูกเปลี่ยนเป็นกรด 8 ชนิดและจะถูกลดปริมาณลงในรูปของการ
เปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน (ATP) แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ก็จะเกิดขึ้นและถูกขับออกโดยกระบวนการหายใจออก น้ำก็จะถูก
ขับออกมาในรูปของปัสสาวะและเหงื่อ  และถ้ากรดทั้ง 8 ทำงาน ได้อย่างสมบูรณ์แบบ กระบวนการทั้งหมดที่ได้อธิบายมาก็จะ
ไม่เกิดกรด ไพโรราสมิค (Pyroracemic หรือ ไพรูวิค(Pyruvic) และกรดแลคตริค  ความเมื่อยล้าอ่อนเพลียและปวดตามกล้ามเนื้อ
ก็จะไม่เกิด กล้ามเนื้อของเราก็จะนิ่มไม่แข็งเกร็ง โลหิตก็จะมีฤทธิเป็นด่าง ปัสสาวะก็จะใสขึ้นแน่นอนที่สุดก็จะมีฤทธิเป็นด่างด้วย
มีความสดชื่น ตื่นตัวในทางตรงกันข้ามหากเราทำงานหนัก ทั้งทางกายและทางใจ หรืออาหารที่เรารับประทานเข้าไปแย่สุด ๆ
หรือร่างกายไม่ได้ดื่มน้ำส้มสายชู ก็จะทำให้กระบวนการที่กล่าวมา เมื่อสักครูไม่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพก็จะทำให้เกิด
กรดแลคติค  กรดนี้จะสะสมในกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดความเจ็บปวดและเมื่อยล้า หากกรดแลคติคสะสมในกล้ามเนื้อ ประมาณ
0.24-0.40% ของของเหลวในร่างกายเรา เราจะรู้สึกอ่อนเพลียหรือเหนื่อยทันที การตอบสนองของร่างกายจะช้าลงบางทีอาจทำให้
ทำงานผิดพลาดหรือไม่ก็อุบัติเหตุ หากปล่อยให้มีการสะสมของกรดแลคติคมากขึ้น บางรายถึงกับเกร็งหรือเป็นตะคริวทำให้
ประสาทชา หรืออัมพาตได้ หรืออาจปวดต้นคอหรือไหล่ ทั้งหลายทั้งปวงเปล่านี้เกิดจากกรดแลคติคสะสมในร่างกายทั้งสิ้น

“ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการดื่มน้ำส้มสายชูหมักเพื่อเลือดที่เป็นปรกติ” 

ภาวะที่เลือดมีกรดแลคติค จะทำให้กล้ามเนื้อเคลื่อนไหวข้าลง ทำให้เกิดภาวะเบื่อหน่ายน่ารำคาญ  โมโหง่ายหรือฉุนเฉียว นั่นยิ่ง
เป็นการเพิ่มปัญหาบนปัญหาเข้ามาอีกต่อหนึ่ง ภาวะนี้ร่างกายก็จะเสี่ยงต่อเชื้อโรคต่าง ๆ ความเจ็บป่วย ทางแก้ก็มีอยู่ 2 ทาง หนึ่ง
นั่นคือ ทางใจ ท่านจะต้องฝึกจิตให้สามารถจัดการต้นเหตุที่กล่าวมา ซึ่งโดยปกติแล้ว พระสงฆ์หรือผู้ที่ฝึกสมาธิขั้นสูงเท่านั้นที่
สามารถทำได้
 แต่สำหรับเรา ๆ ท่าน ๆ ง่าย ๆ ก็คือ ดื่มน้ำสัมสายชูหมัก เพื่อทำให้ภาวะเลือดเป็นกรดหายไปหรือเป็นด่างมากขึ้นเบื้องต้นก็จะรู้สึกตรงกันข้ามกับที่เอ่ยมาทั้งหมดเมื่อดื่ม  สาเหตุหลักเนื่องมาจากน้ำสัมสายชูหมัก หรือกรดอะซิติคจะไปกำจัด
กรดแลคติคให้หมดสิ้นโดยการทำให้วัฎจักรซิตริค (Citric cycle) หรือวัฏจักรเครบ ทำงานสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

“ดื่มน้ำสัมสายชูหมักจะทำให้หายเครียด”
 ความเครียดคือความผิดปกติ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา ความหมาย ที่แท้จริงกินความกว้างกว่านี้มากนัก รวมไปถึงสิ่งต่าง ๆ ที่มีผลกระทบทำให้เรา เกิดความเครียด เช่น ร้อน หนาว เหนื่อย อาหารและรวมไปถึงความกังวลและ
เจ็บป่วย หากปล่อยให้ความเครียดเข้าครอบงำผลร้ายก็เกิด ตามมาบางราย ถึงกับล้มป่วย หรือเป็นโรคร้าย กลไกที่ทำให้เกิดความเครียด ถูกค้นพบโดย
ดร.ฮาน นักวิทยาศาสตร์ รางวัลโนเบลชาวแคนาดา โดยการค้นพบฮอร์โมน
ACH และการทำงาน ของต่อมหมวกไต ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิต
ประกอบไปด้วย 3 พวกใหญ่ ๆ คือ
  1. ฮอร์โมนควบคุมการเผาผลาญอาหาร  
  2. ฮอร์โมนควบคุมปริมาณน้ำและเกลือแร่ในเลือด
  3. ฮอร์โมนเพศ

ทั้งสามนี้เรียกรวมกันว่า ACH ฮอร์โมน ซึ่งถ้าไม่ปรกติ ท่านก็คงนึกออกว่าจะมีผลอย่างไรยกตัวอย่างเช่น ฮอร์โมนควบคุม
การเผาผลาญอาหาร ถ้าไม่ปกติ ก็พวกกินน้อย แต่อ้วนเอา ๆหรือไม่ก็ทานเย๊อะแยะ เลยกลับผอมกะหร่อง ถ้าฮอร์โมนควบคุม ปริมาณน้ำและเกลือแร่ในเลือด บกพร่อง ก็จะก่อให้เกิดโรคเลือดตามมา
  1. และที่สำคัญมากๆเลยถ้า ฮอร์โมนเพศ ไม่ปกติ หลายท่านคงอยากหนีไปบวช คิดว่าท่านคงจินตนาการเอาเองได้
หากปล่อยให้ความเครียดเกิดขึ้นนานเกิน ไป หรือ ACH ฮอร์โมน หลั่งน้อยเกินไป เราอาจแพ้ต่อความเครียด บางทีถึงขั้นล้มป่วย ดังนั้นเราต้องหาทางป้องกันความเครียดหรือกำจัดความเครียด ง่าย ๆ ก็โดยการพักผ่อน หรือนอนหลับ หรือกำจัดโดยกระตุ้น
ต่อมหมวกไตให้หลั่งฮอร์โมน โดยการดื่มน้ำสัมสายชูหมัก หรือกินอาหารที่มีประโยชน์ บางท่านถึงกับสรุปว่า ACH ฮอร์โมน ได้มาจากน้ำสัมสายชูหมัก ซึ่งเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ ดร.ฮาน ได้รับเกียรติอันสูงสุดในการค้นพบครั้งนี้
“คลอเลสเตอรอล สิ่งที่คุณไม่ควรเกลียดและกลัวเมื่อคุณดื่มน้ำส้มสายชูหมักเป็นประจำ”โรคหลอดเลือดแข็งตัวเป็นโรคที่ร้ายแรง รักษายากมาก หลายคนกลัวมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทราบถึงต้นตอและสาเหตุ
คือ “คลอเลสเตอรอล” ทั่วโลกประโคมจนทำให้เราทั้งเกลียดทั้งกลัวคลอเลสเตอรอล ร่างกายของเรามีคลอเลสเตอรอลจำนวนมาก มีบทบาทและความสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระแสเลือดอย่างที่คุณคิดไม่ถึง เช่น เมื่อเราตกอยู่ภาวะอันตราย คลอเลสเตอรอล
จะนำ ACH ฮอร์โมน ไปยังที่หมายทันทีทันใด เมื่อใดที่คุณต้องการความแข็งแรง Hormone เพศก็จะถูกส่งไปในที่ที่ธรรมชาติ
ต้องการ คนที่มี คลอเลสเตอรอลต่ำกว่าเกณฑ์ ปกติก็จะไม่สดชื่นเบื่อโลก ห่อเหี่ยว และที่สำคัญ อาจบกพร่องทางเพศเนื่องจาก ร่างกายเราเคลื่อนย้ายฮอร์โมนทั้งหลายผ่านคลอเลสเตอรอล
 

 ศจ.โตกิโอ ชิมาโมโต เผยแพร่งานวิจัยถึงปัญหาหลอดเลือดแข็งตัวทำให้ทั่วโลก
สนใจ เป็นอย่างยิ่ง เขาได้ค้นพบว่า หากมีการหลั่งแอนดีนาลีน (Andrenaline)
จากอาการโมโหสุดขีด, กังวล, เย็นจัด หรือเมื่อเราต้องการใช้คลอเลสเตอรอล เป็นพาหะเคลื่อนย้ายฮอร์โมน บ่อยเกินไปผ่านหลอดเลือดจะทำให้ผนังหลอดเลือด
แข็งตัว หากเรากำจัด ต้นเหตุของการหลั่ง ฮอร์โมนชนิดนี้ เช่นความเครียดก็จะลด ความเสี่ยงลงได้มากแต่ที่สำคัญมากที่สุด ก็คือการควบคุม คลอเลสเตอรอลไม่ให้
สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน

ซึ่งการดื่มน้ำส้มสายชูหมักเป็นประจำจะทำให้ปริมาณคลอเลสเตอรอลลดลง
โดยกระบวนการเปลี่ยนแปลงเป็นกรดต่างๆและเข้าสู่วัฎจักรซิตริค (Citric cycle)
ที่สมบูรณ์แบบ ตามการค้นพบของ ดร.เครบ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ซึ่งจะทำให้ตับ
ทำงานน้อยลง ประสิทธิภาพของตับ สูงขี้นเมื่อตรวจเลือด ซึ่งจะทำให้ตับ ซึ่งเป็น
อวัยวะผลิตคลอเลสเตอรอล ส่วนใหญ่ของร่างกาย ผลิตคลอเลสเตอรอล ที่ปกติ ซึ่งพวกเราส่วนใหญ่เข้าใจผิดคิดว่า เป็นเพราะทานไขมันมากไปซึ่งอาจถูกสำหรับ
บางคนเท่านั้น ดังนั้นสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับคลอเลสเตอรอลเกินควรอย่างยิ่งที่
จะต้องตรวจประสิทธิภาพของตับ เมื่อตรวจโรคทั่วไปด้วย
 
“ ดื่มน้ำส้มสายชูหมักจะไม่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย โรคกระเพาะ และ
จุกเสียด (heartburn) “
มีการค้นพบว่าอาการจุกเสียดไม่ได้มีสาเหตุมาจากการ
หลั่งน้ำย่อยมากเสมอไป คนป่วยที่มีการหลั่งน้ำย่อยต่ำ หรือ บางรายผ่าตัด
กระเพาะทิ้งแล้วยังมีอาการเลย บางรายดื่มน้ำทีมีฤทธิเป็นด่างหรือดื่มน้ำมากๆ ก็ยังคงมีอาการ การใช้ชีวิตที่รีบเร่ง ทั้งกิน และดื่มล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุของ อาการจุกเสียดทั้งสิ้นหากคุณ มีอาการกระเพาะเป็นแผลอยู่แล้วให้คุณดื่ม
น้ำส้มสายชูทีละน้อยก่อน แล้วสังเกตุอาการและค่อยๆเพิ่มปริมาณขึ้นทีละน้อย
อย่างช้าๆ
 วิธีสังเกต อาการเป็นแผล ในกระเพาะคุณจะปวดภายหลังจากคุณรับประทานอาหารไปแล้วครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง แต่ถ้า
คุณปวดก่อนมื้ออาหาร ส่วนใหญ่แล้วจะมีแผลหรืออักเสบในลำใส้เล็กส่วนต้น แล้วทำไมต้องดื่มน้ำส้มสายชูหมัก ทั้งๆที่
น้ำย่อยของเรามีกรดไฮโดรคลอริค อยู่แล้วคุณ วางใจได้ สาเหตุเนื่องมาจากกรดอะซิติค ในน้ำส้มสายชูหมักทำให้ ระบบประสาทอัตโนมัติต่างๆกลับมาทำงานเป็นปรกติอีกครั้งซึ่งระบบประสาท อัตโนมัติเหล่านี้นี่แหละที่เป็นต้นเหตุ ทำให้เกิดการหลั่งน้ำย่อยมากผิดปกติและผิดเวลาทำให้เกิดแผลในกระเพาะ และทีพบบ่อยมากที่สุด ก็ “ ความเครียดไง “ ทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติรวนเรหมด 

หมายเหตุ:
  หากท่านมีอาการมากอยู่ก่อนแล้วควรอยู่ภายใต้การดูแลจากหมอเอย่างใกล้ชิดเพื่อรักษาแผลให้ทุเลาก่อน
วิธีนี้สำหรับผู้ที่มีอาการเป็นๆหายๆ น่ารำคาญซึ่งส่วนใหญ่ จะรักษาที่ปลายเหตุ เช่นทานยาเคลือบกระเพาะ คุมอาหาร
รสจัดทุกชนิด เหมือนตกนรกทั้งเป็น เพราะชีวิตมีแต่ความจืดชืดี 

 
“คนเราเมื่อแก่ตัวลงทำไมต้องการแคลเซียมมากขึ้น”

ง่ายๆก็เพราะว่าร่างกายของคนแก่ดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลงทั้งๆที่ก็กินอาหาร ที่มีแคลเซียมสูงกว่าเดิมอีก แล้วกลไกอะไรที่ทำให้การดูดซึมหย่อนประสิทธิภาพ
ลง ความลับก็คือ คนแก่น้ำย่อย จะลดลง ความเป็นกรดที่มีความจำเป็นต่อ
แคลเซียม ก็ลดลง หนำซ้ำตับอ่อนก็หลั่งโซเดียมไบคาร์บอเนตไปที่ลำใส้เล็ก ส่วนต้นและตอนบน ซึ่งมีฤทธิเป็นด่าง ทำให้แคลเซียม จับตัวกันเป็นโมเลกุล
ที่ใหญ่ขึ้นทำให้ไม่สามารถแทรกซึมผ่านผนังลำใส้เล็กดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ได้และจะถูกขับถ่ายทิ้งทางทวารอย่างน่าเสียดาย คนแก่จึงขาดแคลเซียม
โดยปริยาย ที่น่าสงสารมากเข้าไปอีก ก็คือ วิตามิน ซี และ บี 1 ที่มีประโยชน์ ก็ถูกด่างในลำใส้เล็กตอนต้นทำลายไปด้วย ดังนั้น น้ำส้มสายชูหมักจึงเปรียบ
เป็น โอสถ ทิพย์ของคนในวัยชราที่ต้องการให้ระบบการหลั่งน้ำย่อยเป็นปรกติ
ที่สุด ไม่สงสัยเลยว่า ทำไมชาวญี่ปุ่นจีงนิยมดื่มน้ำส้มสายชูหมักกันมากและมี
อายุยืนยาวมากกว่าร้อยปี 
สรุป การดื่มน้ำส้มสายชูหมักเป็นประจำก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายสุดคณานับ ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นด่างหรือ pH ที่ 7.4
มีสีแดง เหมาะมากสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดและหัวใจ ซึ่งโดยปกติแล้วคนไข้ในกลุ่มนี้จะมีออกซิเจนในเลือดต่ำ มี กรดแลคติค
สะสมในเลือดสูง ทำให้เลือดเป็นสีดำ เหนือดข้น อาการอ่อนเพลียเมื่อยล้า เหนื่อยง่าย ก็จะตามมา  การดื่มน้ำส้มสายชูหมักเป็น
ประจำ ปัสสาวะก็จะ ใสขึ้น และเป็นด่าง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสัญญาณของผู้ที่มีสุขภาพดีเลิศ นอกเหนือจากนี้ สำหรับผู้ที่มีความ
จำเป็นต้องทำงานหนักตรากตรำ จริงอยู่ คาเฟอีน ในเครื่องดื่มชูกำลังทั้งหลาย สามารถทำให้ท่านหายเหนื่อยอย่างรวดเร็ว
แต่อย่าลืมน๊ะ ว่ามันมีผลร้าย ต่อร่างกายมาก  บางประเทศถึงกับออกกฏหมายห้ามจำหน่าย แต่สำหรับประเทศ ด้อยและกำลัง พัฒนาก็อนุญาตให้ดื่มวันละ 2 ขวด เด็ก สตรีตั้งครรและคนชราห้ามดื่ม  น้ำส้มสายชูหมักซิค๊ะ ผสมน้ำแข็ง หรืออยากได้รสซ่า
อาจผสมโซดา เล็กน้อย จิบไปด้วยทำงานไปด้วยความอ่อนเพลียเมื่อยล้า ปวดกล้ามเนื้อ ก็จะค่อยๆหายไปภายใน 1-2 ชั่วโมง
ภายหลังรัปประทาน ทานกันได้ทั้งครอบครัว ไม่มีกฏหรือข้อห้าม  

สำหรับผู้ที่มี ภาวะเครียด ดื่มน้ำส้มสายชูหมักจะทำให้ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตทำงานปกติ เพื่อกำจัดความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าดื่มหลังอาหารเย็นจะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
หลับง่ายและลึกซึ่งเป็นสรรพคุณเบื้องต้นของการดื่มน้ำส้มสายชูหมักที่ทุกคนทราบดีอยู่แล้ว
หลายรายที่ดื่มทำให้หายจาก สาระพัดโรคที่เกี่ยวเนื่องมา จากปัญหาการนอนไม่หลับทำให้ หลายท่านที่ได้ทดลองดื่มถึงกับเรียกว่า ยามหัศจรรย์ ซึ่งขอเรียนท่านว่า เครื่องดื่ม
น้ำส้มสายชูหมัก ไม่ใช่ยาแต่เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ถึงแม้สรรพคุณสูงกว่ายาหลายชนิด ที่อวดอ้างสรรพคุณสำหรับผู้ที่มีปัญหาคลอเลสเตอรอลสูง หรือต้องการลดความอ้วน
น้ำส้มสายชูหมัก จะทำให้การเผาผลาญ และการทำงานของ citric cycle สมบูรณ์แบบ มากขึ้นและควร ผสมผสานกับการออกกำลังกายจะให้ผลดีมากที่สุด ยังมีสรรพคุณ ของ การดื่ม น้ำส้มสายชูหมัก อีกมากมาย เช่นการขจัดพิษ ซึ่งท่านสามารถ ค้นคว้าได้จากทาง อินเตอร์เนท หรือสื่ออื่นๆ ได้ทั่วไป ส่วนข้อเสียของน้ำส้มสายชุหมักมีเพียงรสชาติที่เปรี้ยวและมีกลิ่นฉุนน้ำส้ม เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามปรัชญาของการมีสุขภาพที่ดีท่านต้องทานอาหารให้ครบ ทั้ง 5 หมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำ ทำจิตใจให้ผ่องใสไม่เครียด ไม่ใช่ อดอาหาร จนขาดสารอาหาร
 
หมายเหตุ: น้ำส้มสายชูหมักจากผลไม้ทุกชนิดมีสรรพคุณ และคุณสมบัติคล้ายๆกัน ยกเว้น น้ำส้มสายชูหมักจาก
น้ำอ้อยบริสุทธิ เท่านั้นที่ไม่มีโซเดียม จึงปลอดภัยต่อผู้ที่มีภาวะความดันสูง จึงเป็นสาเหตุที่ชาวญี่ปุ่นนิยมดื่มเฉพาะ
ที่หมักหรือทำมาจาก มาจากน้ำอ้อยบริสุทธิเท่านั้น

ขอขอบคุณ http://www.thai-japanbev.com/general.html