Pages

Long Live The king

Long Live The king

March 26, 2012

จู ชัง เปี๊ยะ”ขนมเชงเม้ง

จู ชัง เปี๊ยะ”ขนมเชงเม้ง จัดให้อร่อยปีละครั้งที่...ศิริรส
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
25 มีนาคม 2555 23:19 น.
ช่างทำขนมกำลังทำจู ชัง เปี้ยะ
       ใกล้เทศกาลเชงเม้ง บรรดาลูกหลานชาวจีนทั้งหลาย เริ่มเตรียมอาหารคาวหวาน เพื่อไปไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปตามฮวงซุ้ยต่างๆ เพื่อแสดงถึงความกตัญญูต่อบรรพชน อันเป็นประเพณีสำคัญของชาวจีนโบราณยึดถือกันมา
       และมีเพียงปีละครั้งเท่านั้น ที่เราจะเห็นและได้ลิ้มลองขนม “จู ชัง เปี๊ยะ” ซึ่งเป็นขนมสำหรับใช้ไหว้เชงเม้งโดยเฉพาะ ความจริงหลายคนอาจจะเคยเห็นขนมนี้แต่อาจจะไม่รู้จักชื่อก็เป็นได้ เหมือนตัวผู้เขียนซึ่งเป็นลูกหลานคนจีนเช่นกัน รู้จักขนมนี้ เคยลิ้มลองมาแล้ว แต่กลับไม่รู้จักความเป็นมาของขนมนี้เลย จึงไปถามผู้รู้มาเล่าให้แฟนคอลัมน์ได้รับทราบ
จู ชัง เปี้ยะ ที่ปั้นเสร็จแล้วรอนำไปอบ
       ตามความเชื่อของชาวจีนนั้น “ของไหว้” บรรพบุรุษในเทศกาลเชงเม้งนั้น ลูกหลานจะต้องสรรหาแต่ของดีๆ มาไหว้ ในช่วงเดือนเมษายนนั้น “ต้นหอม” ที่เมืองจีนกำลังเติบโตงดงามมีคุณภาพและให้รสชาติอร่อยที่สุด จึงมีการนำต้นหอมเฉพาะตรงหัว (สีขาว)มาทำเป็นขนมไหว้ จึงเป็นที่มาของขนม “จู ชัง เปี๊ยะ” ออกเสียงเป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว คำว่า “ชัง” หมายถึง “ต้นหอม” ส่วน “เปี๊ยะ” คือ “ขนมเปี๊ยะ” รวม ๆ แล้วคือ ขนมเปี๊ยะ ที่มีส่วนผสมของไส้เป็นต้นหอมนั่นเอง
หน้าตาของขนมจู ชัง เปี้ยะ อย่างเค็ม คุ้นตาบ้างมั๊ย
       จู ชัง เปี๊ยะ ที่ประเทศจีน จะมีส่วนผสมเฉพาะ ต้นหอม มันหมู และงา มาทำเป็นไส้แล้วห่อด้วยแป้ง ส่วนที่ประเทศไทยนั้น ชาวจีนที่อพยพมาจากเมืองจีนแล้วนำความรู้ด้านทำขนมมาประกอบอาชีพ ก็มีการพัฒนาไส้ขนมนี้ให้อร่อยขึ้น “เจ็กหลี” ช่างทำขนมของ ร้านศิริรส ซึ่งผู้เขียนเคยแนะนำร้านนี้ในช่วงเทศกาลอาหารเจมาแล้ว ได้เล่าถึงตำนานขนมนี้ในเมืองไทยเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า ไส้ขนมนั้นมีการนำมันเทศไปนึ่งแล้วก็บดให้ละเอียดผสมกับน้ำตาลทราย ส่วนนี้ถือเป็นหัวใจหลักของขนมจู ชัง เปี๊ยะ จากนั้นจะมีการใส่อะไรเพิ่มนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสูตรของแต่ละร้านทำขนม
       สมัยก่อนขนมนี้มีเพียงไส้เดียวเท่านั้นคือ ไส้หวาน โดยใช้มันเทศบดผสมน้ำตาล ใส่มันหมูหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และต้นหอม แต่เมื่อ 30 กว่าปีก่อน เริ่มมีการดัดแปลงมาเป็นไส้เค็ม อย่างสูตรของเจ็กหลีนั้น มีมันเทศบด น้ำตาล มันหมูบด กระเทียมเจียว กุ้งแห้ง พริกไทย ผงพะโล้ เป็นต้น ส่วนอย่างหวานก็เปลี่ยนมาเป็นไส้ทุเรียน โดยร้านสิริรสจะเลือกทุเรียนกวนหมอนทองเท่านั้น เพราะจะให้กลิ่นหอมและไม่หวานจนเกินไป
อีกแบบหนึ่งทำคล้ายคุ้กกี้ เป็นแผ่นบางแบนด้านบนเป็นไส้อย่างเค็ม นำไปอบกรอบ เคี้ยวเพลินดี
       สำหรับร้านศิริรสนั้น จะทำขนมจู ชัง เปี๊ยะ เพียงปีละครั้งเช่นกันในช่วงเทศกาลเชงเม้ง เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมไปจนถึงวันเช็งเม้ง ส่วนรสชาติขนมจู ชัง เปี๊ยะ ของร้านนี้หอมเครื่องปรุง กัดลงไปจะได้กลิ่นหอมของเครื่องทั้ง กุ้งแห้ง ผงพะโล้ และที่รสเข้มข้นกว่าที่อื่นๆ คือ พริกไทยและกระเทียมเจียว ส่วนแป้งที่ห่อจะนุ่มละมุนลิ้น มีให้เลือกลิ้มลอง 2 ไส้คือ ไส้เค็มจะมีไข่เค็มเติมลงไปหน้าขนม พร้อมกับโรยงาขาว ส่วนไส้หวานทุเรียนหมอนทอง จะใส่เม็ดมะม่วงหิมพานต์ไว้ด้านบนของขนม
จู ชัง เปี้ยะ อย่างแผ่นกรอบที่บรรจุถุงแล้ว
       นอกจากนี้ ยังมี จู ชัง เปี๊ยะ แบบแผ่นกรอบหน้าตาเหมือนคุ้กกี้ ด้านล่างเป็นแป้ง ส่วนด้านบนใส่ด้วยไส้เค็ม นำไปกลึงให้แบนแล้วอบกรอบ จะได้รสชาติหอมอร่อยไปอีกแบบ
       แหล่งที่ขายขนมเชงเม้งนี้ จะอยู่ย่านวงเวียน 22 และเยาวราชเป็นหลัก ซึ่งใครสนใจอยากลิ้มลองขนมจู ชัง เปี๊ยะ ของร้านศิริรส ก็แวะไปย่านนี้ได้ หรืออีกแห่งหนึ่งคือ วัดกลาง (วัดจันทาราม ถนนเทอดไท) ในสนนราคา กล่องละ 160 บาท (16 ชิ้น) หรือถ้าอยู่ฝั่งธนฯ ก็แวะไปร้านศิริรสย่านบางบอนใกล้วัดสิงห์ โทร. 0-2415-0770
        
       Text by : ปราณ  ชีวิน
       Photo by : ศิวกร เสนสอน

March 19, 2012

ทำไมบางคู่ถึงเป็นแฟนกันได้นาน

?
แนวโน้มของผู้คนในอนาคต มีความเป็นไปได้ว่าจะแต่งงานกันช้ากว่าเดิม
ซึ่งแนวโน้มนี้จะเห็นชัดเจนในสังคมของโลกตะวันตก
ที่คู่เลิฟชายหญิงกว่าจะสู่ขอและแต่งงานกันได้ เค้าใช้เวลาดูใจกันไม่น้อยเลยทีเดียว
บางคู่งี้ ควงกันมานาน แต่ยังไม่คิดจะแต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราวก็มี

ยกตัวอย่าง คู่ของนักร้องสุดหล่อ เจ้าของเพลงฮีโร่
ที่เคยมาเปิดการแสดงคอนเสิร์ตในบ้านเรา และเป็นขวัญใจของสาวๆ อย่าง เอนริเก้
อิเกลเซียส ที่คบหาดูใจกับ อดีตนักเทนนิสสาวสวยชาวรัสเซีย แอนนา คูร์นิโควา
ก็แล้วกัน

ทั้งคู่มีข่าวเป็นแฟนกันมานานแล้ว นับไปนับมาปีนี้ก็คบกันทำสถิติเป็นปีที่ 11 แล้ว
แต่ข่าวคราวของทั้งคู่ในบ้านเรามีบ้าง ไม่มีบ้าง จึงอาจทำให้แฟนเพลงคิดว่า
พวกเขาเลิกกันไปแล้วก็ได้ เพราะรักมาราธอนเหลือเกิน แต่ทั้งสองยังรู้สึกว่า
“รักของเรายังไม่เก่า” สักหน่อย จึงสามารถครองใจกันและกันไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
แม้มีข่าวรักๆ เลิกๆ ให้ได้ยินเป็นพักๆ

กระนั้น แม้เป็นแฟนกันมา 11 ปี แต่จนป่านนี้ มีผู้สงสัยว่าทำไม้ ทำไม
ทั้งคู่จึงยังไม่แต่งงานกันสักที? เอนริเก้ไขข้อข้องใจ
ด้วยการตอบกระทู้ที่มีคนใจกล้าเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อเร็วๆนี้ว่า ผมไม่คิดว่า
การเข้าสู่ประตูวิวาห์จะทำให้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่พูดแบบนี้
อาจเป็นเพราะผมมาจากครอบครัวที่พ่อแม่หย่าร้างกันก็ได้ ทำให้ผมไม่คิดว่า
คุณจะรักใครมากขึ้นเพราะกระดาษแผ่นเดียว (หมายถึงการจดทะเบียนสมรสกัน) หรอก

นั่นก็เป็นความในใจของนักร้องคนดัง ที่แม้จะยังไม่แต่งงานกันตอนนี้
ก็ไม่ได้หมายความว่า ถ้าความรักสุกงอมมากๆเข้าแล้วจะไม่จูงมือกันวิวาห์นะ
เพียงแต่คู่นี้ยังพอใจที่จะคบกันแบบนี้ไปก่อน
เมื่อถึงเวลาอันควรที่จะสละโสดอย่างเป็นทางการ
แฟนเพลงก็คงได้เห็นคู่นี้เข้าสู่ประตูวิวาห์ในอนาคต

ว่าแต่ พอ พูดถึงชายหญิงที่เป็นแฟนกันนานๆ ก็ต้องให้เครดิตคู่ที่รักกันยาวๆนี้ละว่า
มีศิลปะในการครองคู่และครองรัก
เพราะถ้าไม่มีศิลปะในการคบกันหรืออยู่ด้วยกันแล้วไซร้ คงตัดสินใจแยกทางกันไปแล้ว
ไม่มีใครทนเป็นแฟนกันได้นานๆ โดยปราศจากแรงดึงดูดให้อยากเข้าใกล้กันหรอก
ยิ่งสมัยนี้ ผู้คนยิ่งมีความอดทนน้อยอยู่ด้วย ฉะนั้น
ถ้าคู่เลิฟไร้ฝีมือหรือขาดศิลปะในการอยู่ด้วยกันอย่างผาสุขแล้วละก็
ไม่ทันไรคงได้เลิกกันแหงๆ

และศิลปะอย่างนึงของการอยู่ด้วยกันไม่ว่าจะเป็นแฟนกันมานานแค่ไหนก็ตาม
แล้วยังทำให้อยากอยู่ด้วยกันต่อไปเรื่อยๆ ไม่เบื่อกันเร็ว เห็นจะได้แก่
การทำให้คนที่คุณรักมีความสุขนั่นเอง

ก่อนหน้านี้ หลายคนคิดว่า เวลาหนุ่มสาวจะคว้าใครสักคนมาเป็นแฟน พวกเขาจะเลือกคนที่
เพอร์เฟกต์ สมบูรณ์แบบเท่านั้น แต่เอาเข้าจริง
น้อยคนที่จะได้แฟนที่เพอร์เฟกต์ตรงตามสเปกอย่างที่ใจต้องการ
แต่แม้จะไม่ได้แฟนที่เพอร์เฟกต์ตรงตามสเปกอย่างที่คิดไว้
หลายคู่ก็พอใจกับชีวิตคู่ของตัวเองนะ เพราะพอมาคิดกันอีกหลายตลบ จะพบว่า
การมีแฟนที่มอบความสุขให้กับพวกเขาได้นั้นสำคัญกว่าความเพอร์เฟกต์ของแฟนเยอะทีเดียว

ดังนั้น คู่ที่สามารถครองรักและเป็นแฟนกันได้นานๆ
จึงมีเคล็ดลับอยู่ที่การขยันสร้างความสุขให้กับคนที่ตัวเองรัก...อย่าลืมซะล่ะ
งั้นมามะ มาขยันสร้างความสุขให้หวานใจของพวกเราด้วยการทำอย่างนี้กันไหม
เช่น...1.หาให้เจอว่า พวกคุณทั้งคู่ชอบอะไรที่เหมือนๆกันบ้าง
แล้วก็ทำกิจกรรมนั้นร่วมกัน

เช่น ถ้าฝ่ายหญิงรู้ว่า แฟนหนุ่มของเธอเป็นพวกบ้ารถ ชอบแต่งรถ ชอบดูแลรถ
และชอบขับรถไปเที่ยวที่โน่นที่นี่อยู่เสมอ ขณะเดียวกันฝ่ายหญิงก็ชอบเดินทางเช่นกัน
อย่างนี้สิ ถึงจะเป็นคู่สร้างคู่สม

ดังเช่นคู่ของนกกับบอย โดยบอยเล่าให้ฟังว่า ผมเป็นคนชอบขับรถครับ
ดังนั้นพอถึงวันหยุดที่มีโอกาสได้พักยาวๆ
ผมจะชวนนกแฟนสาวขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดไกลๆ ด้วยกันเสมอ บางทีก็ไปเชียงใหม่,
เชียงราย บางครั้งก็ล่องใต้ไปหาดใหญ่ สงขลา
โชคดีที่แฟนผมเป็นคนที่ชอบเดินทางเหมือนกัน เราจึงไปไหนๆ ด้วยกันได้
นกเป็นคนที่ชอบออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง ไม่ค่อยห่วงเรื่องผิวพรรณมากมาย
ไอ้เรื่องห่วงสวยน่ะ ผู้หญิงห่วงเรื่องนี้ทุกคน แต่เธอพร้อมที่จะผจญภัย
อย่างนี้สิครับที่ผมชอบ ผมคิดว่า คู่รักควรมีรสนิยม
ความชอบในบางอย่างที่เหมือนกันบ้าง จะได้ทำกิจกรรมนั้นด้วยกันได้ นี่สิ
ถึงจะสุขใจครับ

2. สรรหาสิ่งต่างๆมาคุยกันทุกวันมีคู่รักมากมาย ที่พอใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนานๆเข้า
จากที่เคยพูดคุยกันเป็นประจำ
กลายเป็นความจำเจและหยุดคุยหรือไม่รู้จะสรรหาอะไรมาคุยกันซะงั้น
เหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่มักพบว่า คู่รักที่ไม่ค่อยคุยกันจะรู้สึกโดดเดี่ยว
ห่างเหิน และขาดความเข้าอกเข้าใจผิดกับคู่ที่พูดคุยกันบ่อยๆ
จะมีเยื่อใยและเอื้ออาทรต่อกันมากกว่า

ดังนั้น ถ้าคู่เลิฟฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดรู้ว่า แฟนเป็นคนพูดน้อย
ฝ่ายนั้นก็ควรหาเรื่องชวนคุยกับแฟนให้มากเข้าไว้ ชวนเขาคุยเรื่องสัพเพเหระ เช่น
งานอดิเรก, อัพเดตเรื่องเพื่อนฝูง, สอบถามถึงงานที่เขาทำ ฯลฯ แต่ขอบอกซะก่อนว่า
การชวนคุย ไม่ใช่การพูดมาก หรือไปจ้ำจี้จ้ำไชให้เขาทำนู่นทำนี่ให้
และไม่ใช่การตำหนิติเตียน แต่ชวนคุยเพื่อสร้างบรรยากาศให้คนรักรู้สึกว่า
ในโลกนี้เขายังมีคุณเป็นเพื่อนสนิทที่สุดต่างหากล่ะ

3. หาโอกาสทำอะไรสนุกๆ ด้วยกันผู้ชายหลายคนสารภาพว่า พออยู่กับแฟนไปนานวันเข้า
ความตื่นเต้นก็ดูจะลดน้อยถอยลงตามกาลเวลา ดังนั้น พวกเขาจึงรู้สึกดีมากๆ
หากแฟนสาวจะ โทร.มาหาเขาที่ทำงานแล้วบอกว่า ที่รักคะ คืนนี้เรามาทำอะไรสนุกๆ
กันดีไหม? ทันใดนั้น ก็นัดแนะฝ่ายชายให้มารับ แล้วค่อยเฉลยว่า
เธอได้สั่งซื้อตั๋วเข้าชมฟุตบอลทีมโปรดของเขาที่ลงแข่งในคืนนี้แล้ว
โดยที่เขาไม่ทันรู้ ล่วงหน้า แค่นี้ก็สร้างรอยยิ้มให้กับพ่อเจ้าประคุณได้แล้ว

4. แสดงความเสน่หาหวานใจบ่อยๆ
เพื่อให้ดาร์ลิ่งเชื่อมั่นในความรักที่มีให้ว่าไม่เคยจืดจาง เช่น
เซอร์ไพรส์ด้วยการเข้าไปกอดหรือหอมแก้มตอนที่หล่อนกำลังทำงานบ้าน โดยไม่จำเป็นว่า
จะต้องเป็นวันสำคัญ อย่างวันเกิดหรือวาเลนไทน์ถึงจะทำ
แต่เมื่อไหร่ที่คิดถึงหรืออยากให้รู้ว่ารักนะ ก็ทำได้ทันที เย้...


เมอร์ลินไทยรัฐออนไลน์
  โดย เมอร์ลิน
  18 มีนาคม 2555

March 11, 2012

พลิกชีวิต360องศา! ด้วย…ธรรมชาติบำบัด

“ทุกครั้งที่ดื่มอย่าลืมคนปลูก”

สโลแกนที่ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ภายใต้แบรนด์ “พืชไทยเมืองเลย”
ใช้เป็นหัวใจสำคัญในการผลิตและจำหน่ายธัญพืช ไม่ว่าจะเป็นงาดำ ข้าวกล้อง ลูกเดือย
จมูกข้าวสาลี รำข้าวสาลี หรือแม้แต่กาแฟ ผสมโสม ที่ล้วนแล้วแต่การันตีด้วยความเป็น
ธัญพืชปลอดยาฆ่าแมลงและการขัดสี เพราะปลูกบนผืนแผ่นดินเมืองเลย
ด้วยมือของเกษตรกรเมืองเลย

เยาวมาลย์ อำนาจพิชิตไพรี หรือ แม้ว เจ้าของพืชไทยเมืองเลย เล่าให้ฟังว่า
ผลิตภัณฑ์ทุกอย่างเกิดขึ้นจากความต้องการ ที่จะ “รักษา” ตัวเอง จากโรค
รูมาตอยด์ที่รุมเร้า

“กินยาอะไรก็แพ้หมด แพ้ทุกอย่าง ยิ่งกินยาก็ยิ่งป่วยมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยมาคิดว่า
เอาล่ะ...เราจะไม่กินยาแล้ว แต่จะหันมาดูแลตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติ
จะเป็นอะไรแค่ไหนก็ช่าง แต่จะเลือกวิธีนี้”



จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ นานถึง 7 ปีเต็ม ที่เธอเปลี่ยนชีวิตตัวเองแบบ 360 องศา
ไม่กินเนื้อสัตว์ หรืออาหารที่จะมีผลต่อสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บ
กินแต่ธัญพืชและพืชพรรณธรรมชาติอย่างเดียว

“ทุกวันนี้ มนุษย์หันหลังให้ธรรมชาติ วิ่งตามเทคโนโลยี กินอาหาร ปรุงแต่ง
เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ร่างกาย ดูดซึมอาหารไม่ดี สะสมสารพิษเข้าไปในร่างกาย
ภูมิคุ้มกันก็อ่อนแอ พอเจ็บป่วยรุนแรง ก็หันไปพึ่งพายาเคมีอย่างเดียว ผลก็คือ ตับ
ไต ทำงานหนัก ร่างกาย จิตใจอ่อนแอ มันแย่ไปหมด”



งาดำ คือ ไฮไลต์ของธัญพืชที่เป็นตัวอย่างของการบำบัดโรค โดยเฉพาะโปรตีนในงาดำ
มีงานวิจัยยืนยันชัดเจนว่า มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ชื่อ “เมธิ-โอนีน”
และมีสารพัดกรดไขมันไม่อิ่มตัว ทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 กรดไขมันโอเมก้า 6
ที่ช่วยลดคอเลสเทอรอลป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจ ทำให้หัวใจแข็งแรง
แถมด้วยธาตุเหล็ก ไอโอดีน สังกะสี ฟอสฟอรัส ทองแดง แคลเซียม ที่สูงมากๆ
รวมทั้งวิตามิน บี 1, บี 3, บี 5 และบี 9 ด้วย

นี่คือ ความมหัศจรรย์อย่างมากๆของงาดำ ที่คุณแม้วบอกว่า ดื่มงาดำแล้วดี ดีมากๆ
จนต้องมาทำขาย สร้างโรงงานในบ้าน ส่งเสริมชาวบ้านให้ปลูก แล้วรับซื้อทั้งหมด
ที่สำคัญคือ ทุกผลิตภัณฑ์ ของที่นี่ ไม่มีการผสม ไม่ว่าจะเป็นนม หรือครีมเทียม
เป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติล้วนๆ



เยาวมาลย์ อำนาจพิชิตไพรี
นอกจากตัว “งา” เองแล้ว น้ำมันงา ก็เป็นอีกอย่างที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากๆ
ชาวอินเดียมีการอมน้ำมันงา ที่เรียกว่า Oil Pulling Therapy มานานเป็นร้อยปีแล้ว
โดยเชื่อว่า ในช่องปากและลำไส้ของคนเราเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียนับล้านๆตัว
ที่พร้อมจะกระโจนเข้าสู่กระแสเลือดของเราทันที
ทำให้เราป่วยด้วยโรคสารพัดตั้งแต่ไขข้ออักเสบไปจนถึงโรคหัวใจ

การ อมน้ำมันงา ไม่ใช่เพื่อการรักษาโรค
แต่ช่วยขจัดแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคร้ายในช่องปากและลำไส้

โดยใช้น้ำมันงาบริสุทธิ์ 1 ช้อนโต๊ะ อมไว้ในปากขณะที่ท้องว่าง
เคลื่อนน้ำมันไปทั่วปากประมาณ 15-20 นาที แล้วบ้วนทิ้ง บ้วนปากด้วยน้ำสะอาด
แค่วันละ 1 ครั้ง คุณก็จะไม่ถูกแบคทีเรียร้ายคุกคาม ทำให้ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย



นอกจากงาดำแล้ว ธัญพืชอีกอย่างที่มีสรรพคุณไม่น้อยหน้ากัน ก็คือ “ลูกเดือย”

คุณแม้ว บอกว่า “วันไหนถ้ารู้สึกว่าสมดุลในร่างกายไม่ดี อุณหภูมิในร่างกายร้อนขึ้น
สังเกตจากผิวหนังที่ร้อน และความรู้สึกไม่สบายตัว จะกินลูกเดือยเพื่อปรับสมดุล
เพราะเคยเห็นคนจีนใส่ลูกเดือยในซุปและอาหารหลายๆอย่าง กินมาเป็นร้อยเป็นพันปี
เวลาที่ร่างกายไม่สมดุล เขาจะส่งสัญญาณบอกเรา เมื่อเขาปรับสมดุลเองไม่ได้
เราก็ต้องช่วยปรับ ร่างกายของเรา ถ้าเราช่วยเขา เขาก็อยู่กับเรา”

ลูกเดือยมีวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวกล้อง แถมยังมีสารโคเซนโนได (coxen-nolide)
ที่มีส่วนช่วยยับยั้งการเจริญของเนื้องอกที่เรื้อรังมานาน
ซึ่งอาจจะรวมถึงมะเร็งด้วย



มีงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศยืนยันว่าลูกเดือยมีทั้งแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง
มีสารหล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้แก้ปวดข้อเรื้อรัง บำรุงม้ามและปอด ขับปัสสาวะ
บำรุงไต บำรุงเลือด ละลายไขมันและช่วยบำรุงผิวพรรณ
หนุ่มสาวที่อยากมีผิวพรรณเปล่งปลั่ง ร่างกายแข็งแรง
ถ้ากินลูกเดือยและธัญพืชอื่นๆแล้ว จะรู้เลยว่า ทุกอย่างดีขึ้น

ถึงเวลาแล้วที่เราจะหันมากินอาหารเป็นยา เดินหน้าเข้าหาธรรมชาติ

บนโลกใบนี้ ธัญพืชทุกชนิดเยียวยาโรคร้ายต่างๆได้

ถ้าคุณเชื่อ...เริ่มต้นวันนี้ และเดี๋ยวนี้เลย!ไทยรัฐออนไลน์
  โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์
  10 มีนาคม 2555

ขอหวานใจ แต่งงานที่ไหนดี?

ถ้าคุณรักใครสักคนขึ้นมา
จะใช้เวลารวบรวมความกล้านานแค่ไหนถึงจะบอกรักเขา? ถามเนี่ย
เพราะสังเกตสังกามานานแล้วว่า ผู้คนส่วนใหญ่จะพูดคำว่ารักกับใครนั้นยากพอสมควร

เนื่องจากคนเรามักเขินที่จะบอกว่า ชอบ หรือรัก เพราะบางทีก็ไม่แน่เหมือนกันนี่ว่า
อีกฝ่ายหนึ่งจะคิดแบบเดียวกันไหม? ขืนพูดออกไป ถ้าอีกคนไม่เล่นด้วย
ไม่รู้สึกรู้สมในสิ่งที่เรารู้สึกกับเขาด้วยก็หน้าแหกไปเลยสิ

การจะพูดคำพวกนี้ออกมาจึงสร้างความรู้สึกกระดากและตะขิดตะขวงใจให้ทั้งผู้พูดและผู้ฟังอยู่ไม่น้อย
หลายคนจึงไม่ค่อยอยากพูดคำดีๆ เหล่านี้ออกมาเท่าไหร่ แต่หันไปแสดงอาการบอกรัก
หรือรู้สึกชอบพอ ด้วยวิธีอื่นแทน ส่วนวิธีที่ฮิตและใช้กันบ่อย มีหลายอย่างด้วยกัน
เช่น พูดเป็นนัยๆว่า ดูแลตัวเองให้ดีๆนะ, คิดถึงมาก, คิดถึงจัง,อยากอยู่ใกล้ๆ
ก็ว่ากันไป ส่วนบางคนจะส่งข้อความเป็น SMS ไปบอกว่า Miss U (คิดถึง)
ก็ล้วนตีความได้ว่า ถ้าไม่รักก็คงไม่เสียเวลามาส่งชอต แมสเสจ
หรือข้อความสั้นกันหรอก

ที่จริง การที่คนเราไม่ค่อยพูดคำว่ารักออกมา ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
เพราะขืนพูดคำว่า รักออกมาง่ายเกินไป หรือพูดแบบไม่ทันคิด
จะไปบั่นทอนมนต์ขลังของความรักให้ศักดิ์สิทธิ์น้อยลงตามไปด้วย และกลายเป็นว่า
คนที่ไม่ค่อยกล้าพูดคำนี้ แต่ถ้าหากพูดเมื่อไหร่
จะจริงจังและจริงใจกับคำพูดของตัวเองมากกว่า แบบว่า ถ้าพูดว่ารักใครแล้ว
ก็หมายความตามนั้นจริงๆ ไม่ได้พูดเพื่อหวังหลอกเจาะไข่แดง หรือโกหกตอแหล

แต่ข้อเสียก็อย่างที่รู้ๆกัน คือ ถ้าเรารักใครแล้วไม่บอกไม่พูดไม่กล่าว
เอาแต่เก็บเงียบไว้ ต่อให้ใช้แต่คำว่าชอบนะ ฝ่ายโน้นก็ยังลังเลอยู่ดีว่า
ตกลงเขาคิดอย่างไรกับเรากันแน่? ฉะนั้น ถ้าพูดไปเลยว่า รัก จะชัดเจนกว่ากันเยอะ

สำหรับคู่ที่อยู่ด้วยกันแล้ว ก็ควรบอกรักกันบ้าง ถ้าตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา
เคยบอกรักเพียงครั้งเดียว ได้แก่ ตอนที่ชวนเป็นแฟน แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยพูดอีกเลย
คงไม่ดีเท่าไหร่ เดี๋ยวเถอะ เกิดงอนกันขึ้นมาแล้วจะหาว่าไม่เตือน

เมื่อกล้าที่จะบอกรักแล้ว หากความรักทำให้ทั้งคู่ตระหนักว่า
ชาตินี้ฉันคงขาดเธอไม่ได้ (ไม่ใช่ขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก)
ก็ย่อมถึงเวลาที่ฝ่ายชายจะตัดสินใจเอ่ยปากขอฝ่ายหญิงแต่งงานอย่างเป็นทางการสักที
เขียนถึงตรงนี้ ก็มีผู้สงสัยขึ้นมาว่า มีไหมที่ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายขอผู้ชายแต่งงาน?
โถ...ถามได้ มีสิ ทำไมจะไม่มี มีอยู่ในหนังเรื่อง the proposal
หรือลุ้นรักวิวาห์ฟ้าแลบ ที่ซานดรา บูลล็อค เป็นฝ่ายงอนง้อขอแต่งงานกับไรอัน
เรย์โนลด์สไง

ส่วนในชีวิตจริงของหนุ่มสาวทั่วไปก็มีเหมือนกัน แต่ไม่เป็นที่นิยม ยังไง้ ยังไง
ผู้หญิงก็ยังอยากได้ยินผู้ชายขอเธอแต่งงานมากกว่าอยู่ดี จะได้มั่นใจด้วยว่า
ที่เขาตัดสินใจวิวาห์กับเธอนั้นเป็นเพราะ รัก และอยากใช้ชีวิตร่วมกันจริงๆ
ไม่ได้ไปฝืนใจเขา แต่เขามาเอง
มาพัวพันเชิงสร้างสรรค์ไปสู่การสร้างครอบครัวกับเธอเองต่างหาก

งั้น
ถ้าหนุ่มคนไหนตัดสินใจแล้วว่าจะขอแฟนสาววิวาห์เหาะ...เอ้ยวิวาห์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว
แต่ยังไม่รู้ว่า จะขอเธอแต่งงานที่ไหนดี จึงมีไอเดียมาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้...

1. ขอแต่งงาน ณ สถานที่ที่คุณทั้งสองเจอกันครั้งแรกหรือเคยออกเดทครั้งแรกด้วยกัน

ขึ้นอยู่กับว่า ไปเจอกันที่ไหนหรือเคยออกเดทกันที่ใด สมมติว่า
ถ้าเจอกันครั้งแรกตอนต่างฝ่ายต่างไปดูคอนเสิร์ต แต่ก่อนเข้าไปในฮอลล์ที่โชว์เพลง
เขาเกิดเห็นฝ่ายหญิงมากับเพื่อนกลุ่มใหญ่แถมยังเม้าท์กันสนุก
ชนิดแย่งกันพูดไม่มีใครยอมใคร เสียงเม้าท์ที่ดังสนั่นทำให้เขาสะดุดหูและหันไปดูว่า
เจ้าของเสียงคือใคร และทันใดนั้น เขาก็นึกชอบฝ่ายหญิงตั้งแต่นั้นละก็
หากฝ่ายชายจะชวนสาวไปรื้อฟื้นอดีต
ก็ลองชวนเธอไปดูคอนเสิร์ตของวงดนตรีที่ทำให้เจอกันครั้งแรกดูดิ
แต่อย่าลืมชวนกองเชียร์ที่เป็นเพื่อนๆของเธอไปด้วย
เพื่อเป็นพยานในการขอแต่งงานคราวนี้ซะเลย อยู่ต่อหน้าเพื่อนๆ อย่างนี้
รับรองเธอไม่ปฏิเสธแน่

2. ขอแต่งงานในงานแต่งงานของเพื่อน

ไม่ต้องรอให้เธอแย่งช่อดอกไม้ของเจ้าสาวที่ถือเป็นการเสี่ยงทายว่า
ใครจะได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไป ดังนั้น
ฝ่ายชายควรฉวยโอกาสขอสาวเข้าวิวาห์ในงานแต่งงานของเพื่อนสนิทไปเลย
รับรองความรู้สึกอินกับบรรยากาศของงานแต่งงาน จะช่วยให้ฝ่ายหญิงเซย์เยส ไม่ลังเล
แถมเธอจะแอบจินตนาการด้วยซ้ำไปว่า เวลาสวมชุดแต่งงาน แล้วจะสวยแค่ไหน
และงานวิวาห์จะหรูเลิศอลังการอย่างไร

3. ขอเธอแต่งงานที่บ้านก็ได้

จะเป็นบ้านของฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงก็แล้วแต่ การขอแต่งงานที่บ้านหลังตื่นนอนตอนเช้า
เพื่อปลุกให้เธอตื่นขึ้นมาเซอร์ไพรส์กับอาหารเช้าที่ฝ่ายชายลงมือเป็นพ่อครัว
แล้วแอบซ่อนแหวนหมั้นไว้บนถาดอาหารที่เขายกมาเสิร์ฟให้เธอถึงในห้องนอน
(ไม่ต้องถึงกับซ่อนแหวนไว้ในอาหารหรอก เดี๋ยวเธอกลืนแหวนลงไปแล้วจะยุ่ง) ทำงี้
เพื่อให้เธอมั่นใจว่า ถ้าตอบตกลงแต่งด้วย เขาจะดูแลเธออย่างทะนุถนอมอย่างนี้ตลอดไป
น่ารักดี

4. ขอแต่งงานในต่างประเทศ ว้าว เลือกสถาน–ที่ที่โรแมนติก
หรือเป็นประเทศที่ฝ่ายหญิงชอบหรือมีสัญลักษณ์ของความรักเข้าสิ
มีหลายคู่ทีเดียวที่ก่อนลงเอยสมรสกันก็ใช้วิธีระทึก เอ้ย
ตื่นเต้นเช่นว่านี้บางคู่ถึงกับขอแต่งงานที่ทัชมาฮาลก็มี คงทราบกันนะว่าทัช–
มาฮาลเป็นสุสานหินอ่อนที่เชื่อกันว่า เป็นสถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยที่สุดในโลก
หนำซ้ำยังถูกสร้างขึ้นมาจากความรักที่ยิ่งใหญ่ ดูขลังและอลังการไม่เบา

หรือทำทีเป็นชวนเธอไปเที่ยวยุโรปหรือสหรัฐฯ (ขึ้นอยู่ว่ามีงบมากน้อยแค่ไหน)
เส้นทางสายนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศโรแมนติกจะตาย มีคู่เลิฟมากมายชอบไปฮันนีมูน
แต่แทนที่จะรอให้ฮันนีมูนแล้วค่อยไป
ก็ชิงจองตัวเธอมาเป็นเจ้าสาวในโอกาสอันเป็นมงคลอย่างนี้ก่อนเลยแล้วกัน ทำถึงขนาดนี้
ถ้าไม่เซย์เยสก็ให้มันรู้ไป

@@@ไทยรัฐออนไลน์
  โดย เมอร์ลิน
  11 มีนาคม 2555

March 05, 2012

เอ ศุภชัย” ซุป’ตาร์ปั้นได้

ที่มา ไพเราะ เลิศวิราม อังสุมาลิน ศิริมงคลกิจ Positioning Magazine 20 กุมภาพันธ์ 2555

pantip.com by Pikachu ร่าง 5 S

ดาราดังระดับซุป'ตาร์ของเมืองไทยเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็น ณเดชน์ คูกิมิยะ อั้ม พัชราภา ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ, มาริโอ้ เมาเร่อ, ปู ไปรยา สวนดอกไม้ เคน ภูภูมิ, หมาก ปริญ ล้วนมาจากฝีมือของนักปั้นมืออาชีพ “เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร” ทั้งสิ้น ความดังของซูเปอร์สตาร์เหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องของความบังเอิญ แต่ได้ผ่านกระบวนการคิด จับความต้องการของตลาดได้อยู่หมัด ทำให้ “ดารา” กับ “สินค้า” กลายเป็นของคู่กัน จังหวะการวางสินค้า รู้ว่าควรโปรโมตอย่างไร เวลาไหนควรเก็บเกี่ยว นับเป็นโมเดลที่น่าศึกษายิ่ง

ในฐานะนักปั้นดารา เอ ศุภชัย  ศรีวิจิตร เข้าใจในอาชีพวงการบันเทิงอย่างลึกซึ้ง เขารู้ดีว่าอาชีพนี้ต้องการ “ความสดใหม่” และ “จังหวะเวลา” มากกว่าอย่างอื่น 

การปั้นคลื่นลูกใหม่เข้าสู่วงการอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่ต้องทำคู่ไปกับการทำให้คลื่นลูกเก่าดำรงอยู่ได้ในระดับตำนานเหมือนอั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ และ ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ สองดาราดังในสังกัดเริ่มแรกของเอ ศุภชัย ที่ย่างก้าวเข้าสู่อาชีพ “ผู้จัดการดารา”


หลังความสำเร็จของอั้ม พัชราภา และ ป๋อ ณัฐวุฒิ ที่ช่อง 7 ชื่อของ “เอ ศุภชัย” ก็ดังไม่แพ้ดาราหน้าเด้ง แถมยังสร้างผลงานเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง อาทิ ปู ไปรยา สวนดอกไม้, เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ, ณเดชน์ คูกิมิยะ, หมาก ปริญ สุภารัตน์, มาริโอ้ เมาเร่อ จนเวลานี้เขามีดาราในสังกัดมากมาย และพร้อมจะป้อนให้กับทุกช่องทุกแนวละคร ทั้ง 3, 5 และ 7 รวมถึงการเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าที่เป็นของคู่กัน

แต่กว่าจะได้มาแต่ละคน เอ บอกว่า “ไม่ใช่เรื่องง่าย” สิ่งที่เขาต้องทำเป็นประจำจนถึงทุกวันนี้คือ ตระเวนเดินทางไปทั่วประเทศ แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อพบคนหน้าตาดีมีแวว เขาจะทาบทามพ่อแม่ ผู้ปกครองทันที แล้วรอวันที่พร้อม เพื่อปั้นเข้าสู่วงการ

เขารู้แหล่งดีว่าจะเอาตัวเองไปเจอกับเด็กวัยรุ่นหน้าตาดีอย่างไร เช่น เดินทางไปเป็นกรรมการประกวด เพราะว่าสามารถเข้าถึง พูดคุยกับเด็กๆ เหล่านั้นอย่างใกล้ชิด บางครั้งเขาเดินทางไปถึงกัมพูชาเพื่อไปเป็นกรรมการประกวดของที่นั่น เพราะคิดว่าทุกวันนี้ตลาดที่เขาสามารถส่งเด็กไปสร้างความบันเทิได้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เมืองไทยอีกแล้ว ดังนั้นถ้าหากว่ามีเด็กท้องถิ่นที่พูดภาษาต่างๆ ได้ก็มีภาษีที่จะเจาะตลาดเพื่อนบ้านได้ดีกว่า


อั้ม พัชราภา ซุปตาร์ในสังกัดคนแรก







เมื่อเอเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก เด็กส่วนหนึ่งมาจากคนแนะนำ เช่นเคสของ เวียร์-ศุกลวัฒน์ ที่เพื่อนส่งรูปให้ดู แต่นักปั้นผู้นี้ก็ยังเดินทางไปดูด้วยตัวเองถึงขอนแก่น หรือกรณีของ หมาก-ปริญ ที่เข้าสู่สังกัดด้วยการแนะนำจากเพื่อนที่ทำงานโมเดลลิ่ง

ล่าสุด เขาเพิ่งกลับจากงานวัดไทยในอเมริกา เอก็ได้หนุ่มลูกครึ่ง วัย 16 ปี แม่อีสานพ่อฝรั่ง สไตล์เดียวกับ ณเดชน์ เข้าสังกัดเรียบร้อยแล้ว เขาบอกอย่างมั่นใจว่า อีก 2 ปี เจอกัน วงการจะมีดาวดวงใหม่ที่ฮอตไม่แพ้ณเดชน์

ช่วงอายุของกลุ่มเด็กที่เอมองหา จะอยู่ที่ 16-17 ปี เพราะขารู้ว่าต้องฝึกให้หนักอีกหลายขั้นตอนกว่าจะส่งเข้าสู่วงการบันเทิงได้ บางคนต้องใช้เวลาเป็นปี

เอ จะมีเด็กในสังกัดที่เตรียมไว้เกือบทุกจังหวัดและต่างประเทศ และเมื่อได้เด็กมาแล้ว เอจะใช้บ้านหลังใหญ่ย่านถนนสุขาภิบาล 5 ตกแต่งอย่างดี ไว้รองรับบรรดาดาวดวงใหม่ เฉลี่ยเลือกปั้นครั้งละ 10  คน โดยมีคอร์สเรียนการแสดง, ร้องเพลง, พัฒนาบุคลิกภาพ, ออกกำลังกาย เพื่อให้มีร่างกายที่ฟิตแอนด์เฟิร์มเหมาะกับถ่ายแบบตามคาแร็กเตอร์ ซึ่งเอ ศุภชัยจะวาง Position ไว้ชัดเจน ทั้งการแต่งตัว การดูแลตัวเอง และการปรากฏตัวบนเวที ที่ต้องบ่มจนเป๊ะ ก่อนป้อนเข้าสู่วงการบันเทิง

เอ ศุภชัย บอกว่า แต่ละคนจะใช้งบลงทุนเฉลี่ย 1 ล้านบาทต่อคน ที่ต้องลงทุนขนาดนี้ เพราะบางคนเข้าคอร์สแล้วยังสวยและหล่อไม่ “เป๊ะ” ก็จำเป็นต้องพึ่งมีดหมอที่เกาหลี ให้หน้าตาออกมาอินเทรนด์ รับกับมุมกล้องและตรงกับรสนิยมคนดูตามยุคสมัย


 ป๋อ ณัฐวุฒิ เพื่อนรุ่นน้องที่เอปั้นจนดดัง





“มีเด็กบางคนเคยถามว่า อยู่กับพี่เอมา 2 ปีแล้ว ยังไม่มีงานเลย เพราะเราจะไม่ปล่อยให้สินค้าไม่ดีออกสู่ตลาด เหมือนกล้วยยังไม่แก่ก็ขายแล้ว ถ้ารีบออกก็ต้องใช้แรงเยอะ เราต้องใช้หัวคิด หาจังหวะดีๆ แล้วค่อยออก”

ถึงจะลงทุนลงแรงไปไม่น้อย แต่อัตราเฉลี่ย ปั้นแล้วใช้ได้ 9 ใน 10 คน ถือว่าเป็นตัวเลขที่คุ้มค่าเมื่อเทียบเม็ดเงินลงทุนกับการเก็บเกี่ยวเม็ดเงินรายได้ของเด็กในสังกัดและในฐานะผู้จัดการ จะได้รับเมื่อเข้าสู่วงการบันเทิง ที่จะมีทั้งงานแสดงละคร พรีเซ็นเตอร์

เขายกตัวอย่าง เนย โชติกา รับบทเป็นนางร้าย แต่เนื้องานที่ได้รับและรายได้ ไม่แพ้นางเอก 5 ดาว แต่อาจต้องเหนื่อยกว่า ความถี่ในการทำงานอาจต้องเยอะกว่า เพราะสุดท้ายที่ได้รับกลับคืนคือผลตอบแทนที่คุ้มค่า และมีอาชีพติดตัวไปตลอดชีวิต

แม้แต่ณเดชน์เองที่เอไปพบ อายุแค่ 15 ปี เรียนอยู่ ม.4 ในจังหวัดขอนแก่น เขาต้องใช้เวลาบ่ม ถึง 2 ปีเต็มจึงพาเข้าสู่วงการ เริ่มจากรับงานเป็นจ๊อบเล็กๆ ก่อนผลักดันเข้าตลาดด้วยการเดินแบบ จากนั้นจึงเล่นละคร และเป็นพรีเซ็นเตอร์





นอกจากฝึกบุคลิก และความสามารถแล้ว เด็กในสังกัดเอต้องผ่านการ “รับน้อง” เพื่อฝึกความ “อดทน” ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่เอ ศุภชัย เข้าใจเรื่องนี้ดี จะสวยหล่ออย่างเดียวไม่ได้ ต้องถูกใจคนจ้างงานด้วย

ยกตัวอย่าง ใหม่ ดาวิกา ถูก “รับน้อง” ด้วยโจทย์ที่เอให้ไปเอาใจคนสูงอายุ 100-200 คน โดยพาทัวร์ประเทศพม่า เขาให้เหตุผลว่า หากเอาชนะใจคนเหล่านี้ได้ก็เท่ากับชนะใจคนดูไปแล้วกว่าครึ่ง คนสูงอายุพวกนี้มีบทบาทมากในการบอกต่อ หรือบังคับลูกหลานให้มานั่งดูทีวีพร้อมกัน

“เวลาอยู่ที่บ้านเอก็เหมือนกัน เอจะให้เด็กกินเผ็ด ห้ามบ่นเรื่องอาหาร ไม่ให้เรื่องมาก เพราะเวลาอยู่กองถ่ายจะเรื่องมากไม่ได้ ต้องกินง่ายอยู่ง่าย คนเอ็นดูเรา ถ้ามีคน2 คนที่ความสามารถเท่ากัน ความสวยพอๆ กัน แล้วผู้จัดเขาต้องเลือก เขาก็ต้องเลือกคนที่ทำงานด้วยแล้วสบายใจมากกว่า เด็กของเอต้องเป็นคนที่ใครๆ ก็พูดถึงว่าทำงานด้วยแล้วสบายใจ” เอเล่าไป หัวเราะไป ด้วยวิธีคิดแบบนี้ ณเดชน์ คูกิมิยะ ก็เคยผ่านการฝึกความอดทนด้วยการนั่งรถทัวร์ไป-กลับกรุงเทพฯ ขอนแก่นมาแล้ว







ช่อง 3 ความลงตัวของดีมานด์-ซัพพลาย

สูตรการปั้นซุป'ตาร์ของ เอ ศุภชัย ไม่ได้อาศัยแต่ความสวยความหล่อเท่านั้น เขายังต้องดูจังหวะและโอกาสที่ดีด้วย การขยับจากการป้อนดาราในสังกัดให้กับช่อง 7 มาที่ช่อง 3 ก็เป็นการ “มองจังหวะ” และ “ทิศทางลม” ที่ถูกต้องทีเดียว เมื่อช่อง 3 ต้องการบุกหนักเรื่องละคร  “ดาราหน้าใหม่” จึงเป็นที่ต้องการมากสำหรับละครแนวใหม่ๆ ที่ผู้จัดละครโหยหาเพิ่มเป็นเท่าตัว เป็นจังหวะที่ลงตัวพอดีของเด็กในสังกัดเอ ศุภชัย ที่นิยมปั้นดาราตามเทรนด์สมัยใหม่ (อ่านล้อมกรอบ)

ขณะที่ช่อง 7 ยังคงเน้นละครแนวเดิม นิยมใช้พระเอกหน้าไทย ดูมีอายุ ซึ่งเอ ศุภชัย ยืนยันว่า เขายังคงป้อนเด็กให้กับช่อง 7 ตลอดมา ทั้งเวียร์ ใหม่ ดาวิกา และอีกหลายคน เพียงแต่กระแสไม่ฉูดฉาดเท่าช่อง 3

“ตอนที่ทำให้ช่อง 3 เอก็พูดกับผู้ใหญ่ช่อง 7 ว่าจะพาดาราบางส่วนไปอยู่ช่อง 3 นะ เพราะเทรนด์หน้าตาของช่อง 7 คนละแบบ ผู้ใหญ่ก็เข้าใจ เราต้องเคลียร์ให้ชัด สร้างความเข้าใจกัน เพราะเราเกิดที่นี่ ทุกวันนี้เอสามารถทำงานได้ทั้ง 2 ช่อง รวมถึงช่อง5 ค่ายเอ็กแซ็กท์ของคุณบอย เอก็ป้อนให้ตลอด อย่าง วิว วีรนุท และ สน ยุกต์ส่งไพศาล นี่ก็ใช่”

เมื่อกระแสละครช่อง 3 เบียดแซงหน้าช่อง 7 มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งเป็นแรงส่งให้ดาราในสังกัดของเอ โด่งดังระดับซุป'ตาร์ จนเป็นที่มาของ “คอนเสิร์ต 4+1“ ที่เสี่ยประวิทย์ มาลีนนท์ เป็นต้นคิดของไอเดีย และให้เสิร์ชเอ็นเตอร์เทนเม้นท์จัดขึ้น ความดังในฐานะ “นักปั้นมือทอง” ทำให้ “เอ ศุภชัย” ขยับจากผู้อยู่เบื้องหลัง มาปรากฏกายบนเวทีคอนเสิร์ตได้อย่างน่าภาคภูมิใจ  พร้อมซุป'ตาร์ที่เขาปั้นมากับมือ





Trend Setter ตัวแม่

เอ บอกว่า เขาป้อนดาราแล้วดังตลอด จนมาถึงจุดที่เป็น Trend Setterเมื่อกำหนดเทรนด์ได้แล้ว เป็นอำนาจต่อรองมากพอที่จะทำให้เด็กได้งานระดับท็อป ทั้งงานละครและงานพรีเซ็นเตอร์อยู่เสมอ

“เราพูดครั้งแรกเขาอาจไม่เชื่อ เมื่อพูดแล้วถูกหมด เราก็ไม่ต้องไปตามเทรนด์ใครแล้ว  เวลานี้ถ้าบอกใครหล่อ คนทั่วไปก็เชื่อ เอจะบอกเจ้าของสินค้าได้เลยว่า ถ้าคุณไม่เชื่อคุณจะพลาด จะโดนเจ้าอื่นเอาไป แล้วถ้าคุณได้คนที่ไม่ใช่ไป คุณจะพลาดไปเรื่อยๆ นี่คือเทรนด์ที่เอ สร้างขึ้นมา”

บนเส้นทางความสำเร็จของดาราในสังกัด เอบอกไม่ได้ว่าจะยืนยาวได้แค่ไหน แต่เราคิดว่าจะสามารถทำให้คลื่นลูกเก่ายืนอยู่ได้ในระดับเป็นตำนาน เหมือนอั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ และ ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ สองดาราดังรุ่นใหญ่ในสังกัด” ซึ่งเอยืนยันว่า ต่อให้มีดารามาใหม่อีก 100 คน ทั้งอั้มกับป๋อยังมีงานล้นมือทั้งละครและพรีเซ็นเตอร์

“และเราไม่หยุดแค่นั้น เราก็สร้างอาชีพต่อไปให้เขาต่อ เพราะเรารู้ว่าวงการนี้ขายความใหม่ ขายความสด และขายเวลา สุดท้ายจะต้องเดินไปเรื่อยๆ ไปข้างหน้า เด็กเกิดมาเยอะไปหมด คุณต้องทำใจให้ได้ว่าไม่มีทางจะดังตลอดไป ต้องมีคลื่นลูกใหม่เข้ามา แต่ทำอย่างไรให้เป็นคลื่นลูกเก่า แต่เป็นตำนานที่อยู่ได้ตลอดชีวิต”





ในการสัมภาษณ์ บ่อยครั้งที่เอ ศุภชัย จะพูดถึงตลาดต่างประเทศตลอดเวลา เพราะ “ดาราใหม่” ของเอในวันนี้ อาจไม่ใช่แค่ตลาดในประเทศอีกแล้ว แต่เขามองไกลถึงต่างประเทศโน่น

ความสำเร็จของมาริโอ้ ที่เอไปสร้างฐานไว้ที่ฟิลิปินส์รวมถึงประเทศจีน เอเชื่อว่าคนจีนจะตอบรับ “ณเดชน์” เหมือนคนทำหนังจะชอบ “มาริโอ้” ซึ่งเอก็ชอบเมืองจีน เพราะแม่เอมีเชื้อสายจีน คุณทวดมาจากเมืองจีน เอเคยพูดไว้ว่า ถ้าเราจะไปกินเงินเขา เราต้องศรัทธาในพื้นที่นั้นก่อน ถ้าจะไปทุกอย่างต้องเต็มเหนี่ยวและเป๊ะ

“เออาจไปเอง หรือให้ลูกน้องไปดู แต่เราก็ไม่อยากให้ที่นี่ขาดคนปกครอง เราก็จะให้ลูกน้องไปช่วย และเชิญเขามาประเทศไทย มาคุยกัน มารู้จักตัวตนของกันและกัน”

เพราะอย่างที่บอก “ความสดใหม่” และ “เวลา” เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมาคู่กันเสมอ วันนี้ “เอ ศุภชัย” จึงเตรียมเปิดบ้านอีกรอบหลังจากเด็กในสังกัดเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมที่จะแยกครอบครัวซึ่งเปรียบเสมือน “กงสี” ที่ทุกคนอยากจะมีบ้านเป็นของตัวเอง

เด็กๆ ที่ได้รับการทาบทามไว้ 10 คน ที่เขาเตรียมไว้ตามหัวเมืองต่างๆ รวมทั้งในต่างประเทศ ก็จะเดินเข้าบ้าน และพร้อมจะเป็นคลื่นลูกใหม่ในวงการบันเทิงต่อไป นี่คือภาระหน้าที่ที่ท้าทายและน่าสนุกของคนชื่อ “เอ ศุภชัย” นักปั้นมือทอง สาวกแบรนด์เนม “Hermes” ผู้มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทในวันนี้





สูตรลับนักปั้น

Recruit

- เล็งจากเวทีประกวด เพราะว่าเข้าถึงตัวเด็กได้เลย

- ตระเวนหาตามแหล่งชุมชนไทยในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง

- ตัวเด็กเข้ามาสมัครเองจากแบรนด์ของ เอ-ศุภชัย ที่ใครๆ ก็รู้จักว่าเป็นนักปั้นมือทอง

- ช่วงแรกของชีวิตนักปั้น เอ-ศุภชัย จะเลือกพระเอกคมเข้มแต่มีดีกรีนักเรียนนอกอย่าง ป๋อ-ณัฐวุฒิ หรือบัณฑิตเกียรตินิยมอย่าง โน้ต-วัชรบูล ต่อมาเปลี่ยนมาเป็นดาราวัยรุ่นให้รับกับเทรนด์

Training

- ฝึกการแสดง, ร้องเพลง, บุคลิกภาพ ทำให้เด็กมีพื้นฐานในวงการบันเทิงก่อน ผู้จัดจะได้ใช้งานสะดวกขึ้น มาตรฐานอยู่ที่ เอ-ศุภชัย ว่าจะให้ผ่าน และส่งเข้าสู่สนามจริงหรือไม่

- ออกกำลังกาย รักษาหุ่น นักแสดงโดยเฉพาะผู้ชายจะมีคอร์สออกกำลังกายที่มีผู้เชี่ยวชาญมาดูแลรักษาหุ่น และดูแลเรื่องอาหารการกิน

- การแต่งกาย แต่งหน้า ทำผม ในระดับหนึ่ง การแต่งตัวของดาราเวลาออกงาน เอ-ศุภชัย จะใช้วิธีการตัดชุดโดยดูแบบจากเกาหลี หรือดูแค็ตตาล็อกเสื้อผ้าแบรนด์เนม

- ฝึกความอดทนกับการทำงานในวงการบันเทิง ทั้งเรื่องกิน การมีปฏิสัมพันธ์กับทีมงานในกองถ่าย

- เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ เรื่องการปรากฏตัวบนเวที เช่น มุมกล้องถ่ายรูป การเดิน ที่ทั้งหมดต้องโชว์มุมที่ดีที่สุดของตัวเองตลอดเวลา

กระแสสร้างได้

- ตั้งชื่อให้กับเด็กในสังกัด โดยต้องเป็นชื่อที่สะดุดหู งานนี้ไม่ต้องดูดวงที่ไหน เอ-ศุภชัย ฟันธงด้วยตัวเอง

- เลือกช่องทางให้เหมาะกับความสามารถ และบุคลิกของเด็กในสังกัด

- ใช้สื่อให้เป็นประโยชน์ ทั้งข่าวเชิงบวกและข่าวแง่ลบ ก็ช่วยโปรโมตได้ทั้งนั้น

- ขึ้นปกนิตยสารดังในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อทำให้ผู้ชมติดตา

Remain

- วาง Position ให้ดารา มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน

- เลือกรับงานที่ถนัด ถ้าหากว่าไม่ถนัดก็ไม่ปล่อยให้งานที่ไม่มีคุณภาพออกสู่สายตาผู้ชม (อั้ม พัชราภา ไม่เคยร้องเพลงในงานไหนเลย)

- รักษาคุณภาพงานต่อเนื่อง มีข่าวอยู่ตลอด ไม่ให้หายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์




March 04, 2012

ถ้ามีแฟนขี้บ่น จะเอาตัวรอดอย่างไร ร้อยแปดพันเก้า เมอร์ลิน

วันก่อนเปิดไปดูละครโทรทัศน์มีเพื่อนผู้หญิงกลุ่มหนึ่งคุยกันอย่างออกรสเรื่องความรักและการทำตัวให้เป็นที่หมายปองของเพศตรงข้าม
ฟังแล้วก็ขำๆ สาวคนหนึ่งในกลุ่มเสนอความคิดที่ว่า
ถ้าหญิงคนไหนอยากให้แฟนหนุ่มรักและยังอยากคบหล่อนอยู่ละก็ ต้องแกล้งทำเป็นโง่ๆ
เซ่อๆ เข้าไว้ “จำไว้นะพวกแก ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบผู้หญิงที่รู้ทันเขาหรอก
หรือถ้าหญิงใดมีวี่แววว่าเก่งเกิน เขาก็ไม่เอามาเป็นแฟนหรอก เพราะผู้ชายน่ะยังไง้
ยังไงก็ยังอยากเป็นผู้นำ อีโก้สูง อยากเป็นช้างเท้าหน้า
อยากให้ผู้หญิงไม่รู้ในสิ่งที่เขารู้ซะบ้าง แบบนี้สิเขาถึงอยากจะคบด้วย
และเป็นแฟนกันได้” เอ้าสาวๆฟังไว้นะ

จะว่าไป แม้สาวๆจะแกล้งโง่หรือแกล้งเซ่อเพื่อมัดใจชายก็ตาม
แต่ความสัมพันธ์ของคู่รักคู่รสก็ใช่ว่าจะราบรื่นเสมอไปอยู่ดี
เพราะปัจจัยที่จะทำให้หนุ่มสาวรักกันอย่างยั่งยืนได้นั้นมีหลายอย่างให้คำนึงถึงมากทีเดียว
เช่น นอกจากความรักก็ควรผูกพัน  เอื้ออาทรต่อกัน เกรงใจกัน และไม่นอกคอก เอ้ย นอกใจ
เป็นต้น

สิ่งนึงที่ถือว่าเป็นตัวทำลายความรักให้ย่อยยับได้ ก็คือ เสียงบ่นระคนด่า
ของคู่รักที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดรู้สึกอิดหนา
ระอาใจกับพฤติ-กรรมของอีกฝ่ายขึ้นมานั่นเอง พอคู่ไหนไม่สบอารมณ์กันขึ้นมาเมื่อไหร่
ก็เป็นไปได้ที่จะมีเสียงบ่นนู่น บ่นนี่ มีรำคาญ มีหมางเมินใส่กันบ้าง
เป็นเรื่องธรรมชาติ โถ... คงไม่มีใครสามารถทำอะไรได้ดังใจแฟนไปซะหมดหรอกเนอะ

หลายคนฟันธงว่า ผู้หญิงนี่แหละเป็นพวกขี้บ่น มีเรื่องให้บ่นได้ตลอดทั้งวี่ทั้งวัน
บ่นได้ทุกอย่าง ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ โอ้ มายกอด
ขืนสรุปอย่างนี้ก็เท่ากับโจมตีผู้หญิงกันเกินไป ขอบอกว่า ผู้หญิง
เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาจจะพูดเก่ง พูดมาก พูดเยอะก็จริง
แต่ไม่ใช่ยายบ้าหรืออีเพิ้งที่ขี้บ่นอย่างไม่มีเหตุผลหรอกนะ
เพราะถ้าหล่อนเอาแต่บ่นถึงสิ่งไร้สาระ เดี๋ยวก็ถูกคนที่อยู่ด้วยตีจากไปเอง
จึงเป็นผลเสียต่อตัวเองมากกว่า อีกอย่าง ผู้ชายที่ขี้บ่นก็มีเยอะ บางคนล้อหล่อ
แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย ปากไวผิดผู้ชายทั่วไปก็มี ฉะนั้น
พฤติกรรมขี้บ่นจึงไม่ใช่การกระทำผูกขาดของผู้หญิงเพียงฝ่ายเดียวแน่นอน

เหตุนี้ถ้าใครมีแฟน (ไม่ว่าชายหรือหญิง) เป็นคนขี้บ่นละก็ สัปดาห์นี้
เรามีวิธีการรับมือกับแฟนขี้บ่นมาเล่าสู่กันฟัง เพราะรู้หรอกน่าว่า
ไม่มีใครอยากฟังเสียงบ่นจากแฟนหรอก อยากฟังแต่คำพูดที่เอาอกเอาใจกันมากกว่า
แต่ก่อนอื่นควรถามตัวเองก่อนที่จะถูกแฟนบ่นว่า
ได้ทำในสิ่งที่สัญญาไว้กับแฟนเรียบร้อยแล้วใช่ไหม? เช่น ถ้าเผลอไปรับปากกับแฟนว่า
จะไปรับเธอที่สนามบิน เมื่อหล่อนกลับมาจากการสัมมนาที่ต่างจังหวัด
ซึ่งถ้าไปรับตรงตามเวลา หรืออาจช้าไปบ้าง ก็คงไม่โดนต่อว่า แต่
เผอิญไอ้ที่สัญญาหรือรับปากกับแฟนไว้ ดันลืมซะงั้น เมื่อทำไม่ได้ตามที่พูด
ก็สมควรแล้วที่จะถูกบ่นซะบ้าง ถือซะว่า แฟนบ่น
เป็นการให้ศีลให้พรและช่วยสร้างประสบการณ์ไม่ให้ความจำเสื่อมในอนาคต แล้วกัน

ส่วนวิธีรับมือกับแฟนขี้บ่น ก็มีดังนี้...แท่น แท้น...

1. เมื่อรู้ว่า แฟนเราเป็นแบบนี้ ก็ควรสร้างระยะห่างกับแฟน ไว้บ้างเช่น
ถ้าแฟนอยู่ห้องนึง คุณก็หลบไปอยู่อีกห้องนึงในบ้านเดียวกันซะ
แต่ไม่ใช่หลบไปกกชู้ก็ไม่ไหวนะ หรือเมื่อไหร่ที่มีลางสังหรณ์ว่า
จะถูกแฟนบ่นเรื่องไม่ช่วยทำงานบ้านเลย ก็เอางี้สิ หลังทานอาหารร่วมกันเสร็จแล้ว
ก็รีบอาสาว่า จะช่วยล้างจาน โดยไม่ต้องให้แฟนเตือนว่า ต้องช่วยทำอะไรบ้าง
และทำให้เห็นกันเดี๋ยวนั้นด้วย ไม่ใช่ไปแอบทำลับหลัง ไม่งั้นแฟนจะไปรู้ได้ไงว่า
คุณช่วยทำงานบ้านจริง? หรือแค่แกล้งพูดไปอย่างนั้น

2. พอแฟนเริ่มบ่น ถ้าฟังแล้ว มีเหตุมีผล และคุณมีส่วนผิดจริง ก็ควรเอ่ยปากขอโทษ
และยอมรับไปเถอะว่า อีกหน่อยคุณจะปรับปรุงตัวเอง เชื่อว่า
เหตุการณ์นี้จะผ่านไปได้ไม่ยาก หากรักกัน คงไม่บ่นกันแบบเอาเป็นเอาตายหรอก
บ่นแค่ให้สำนึกพอ เพราะในฐานะที่เป็นมนุษย์ ใครๆก็ทำผิดทำพลาดกันได้

3. ถ้าแฟนเอ่ยปากบ่นเมื่อไหร่ ก็ใช้วิธีพูดชมฝ่ายนั้นซะเลย ว่า เขา/เธอดีอย่างนั้น
อย่างนี้ หรือชมอะไรก็ได้ หาให้ได้แล้วกันว่า ควรชมเรื่องอะไร
ที่สามารถทำให้ฝ่ายนั้นลืมเรื่องที่อยากบ่น
ก็นั่นแหละชวนคุยในเรื่องนี้ซะเลยจะรอช้าอยู่ไย

4. ถ้ารู้ว่า ตัวเองทำอะไรไว้แล้วแฟนจะรู้สึกขัดเคืองใจกับสิ่งที่คุณทำแน่ๆ
แต่ก็ไม่อยากโดนแฟนบ่นนี่หว่า งั้นเอางี้สิ ยอมลงทุนควักกระเป๋าซื้อของขวัญมาให้แฟน
แทนคำว่าเสียใจ หรือขอโทษ แล้วกัน

5. พยายามทำให้แฟนไม่มีเวลามาคอยบ่น คอยจ้ำจี้จ้ำไชกับคุณสิ
ด้วยการทำให้เขา/เธอไม่ว่างเข้าไว้ เช่น พาไปช็อปปิ้ง, พาไปเดินตลาดนัด,

พาไปเข้าวัด ทำบุญ ปล่อยนกปล่อยปลา และทำทานแก่ผู้ด้อยโอกาสทางสังคมบ้าง
ไม่งั้นก็ชวนกันไปออกกำลังกาย
หรือสนับสนุนให้เขา/เธอไปหาเพื่อนจะได้ไปเม้าท์กันเรื่องอื่นและลืมสิ่งที่อยากบ่นซะ
จะได้รอดตัวไป

6. ถ้าแฟนกำลังจะบ่น ก็รีบชิงเล่าเรื่องตลกขบขันแข่งกับฝ่ายนั้นซะเลย
แต่ควรมั่นใจว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ขำออกมาได้จริงๆ ไม่ใช่เล่าเรื่องอะไร ไม่รู้
แทนที่จะขำแต่ดันมุกแป้ก ระวังเหอะถ้าแฟนไม่ขำ
อาจหันมาเล่นงานคุณเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
โทษฐานพยายามเบี่ยงเบนในสิ่งที่เขาอยากพูดแต่ดันทำไม่สำเร็จ...ฮึ่ม

เคยได้ยินแก๊งหนุ่มๆ ติฉินนินทาแฟนสาวที่ชอบบ่นโน่น บ่นนี่ เอาไว้ว่า
นี่พวกเราอยากมีแฟนนะ ไม่ได้อยากมีแม่ (เปรียบเทียบแฟนสาวว่าทำตัวคล้ายแม่) ซะหน่อย

ส่วนฝ่ายหญิงพอได้ยินอย่างนี้เข้า ก็สวนกลับทันทีว่า ก็อย่าทำตัวเป็นลูกสิ คิดรึว่า
ผู้หญิงอยากได้แฟนมาเป็นลูก ถ้าจะเป็นแฟนก็เป็นแฟน หากเป็นลูกก็เป็นลูก
ไม่เหมือนกันนะ! เอ้า หากคู่ไหนมีปัญหาอย่างนี้ก็เชิญไปตกลงให้เข้าใจกันซะ.


เมอร์ลินไทยรัฐออนไลน์
  โดย เมอร์ลิน
  4 มีนาคม 2555