Pages

Long Live The king

Long Live The king

January 31, 2012

รู้ได้ไงว่าควรเป็นแฟน กันไปนานๆ - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

คู่ที่เลิกและหันมาคบกันใหม่แถมได้แต่งงานกันนั้น
ต้องเป็นคู่ที่ต่างฝ่ายต่างตกผลึกทางใจแล้วว่า ไม่สามารถจะขาดกันได้
เพราะพอห่างกันแล้ว ฝ่ายชายจะไร้ความสุขทันที เหมือนอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้
จะกระวนกระวาย ซึมเซา เนื่องจากชินที่จะมีอีกคนอยู่ ใกล้ๆ
ดังนั้นเจ้าความรู้สึกแรงกล้านี้แหละจึงทำให้เมื่อได้กลับมารักกันใหม่
ฝ่ายชายไม่อยากเดี๋ยวรัก เดี๋ยวเลิกกันอีกแล้ว แต่ชวนกันมาสมรส สมรักกันดีกว่า

แต่หากคู่ไหน ฝ่ายชายไม่ได้รู้สึกแรงกล้าเหมือนอย่างที่เล่ามา
ก็แย่หน่อยนะที่จะบอกว่า ยิ่งขืนฝ่ายหญิงงัดวิธีทำเป็นเลิกเพื่อให้เขามาง้อละก็
ถ้าเผื่อเขาไม่ง้อ ก็หน้าแหกและซวยสิเนอะ

เมื่อนักจิตวิทยาไม่แนะนำให้งัดวิธีหักดิบอย่างนี้มาใช้พร่ำเพรื่อ
แล้วท่านเสนอให้ใช้วิธีไหน เพื่อไขปัญหาคับข้องใจของฝ่ายหญิงที่มีแฟนแล้ว
แต่ฝ่ายชายไม่ยอมชวนเธอแต่งงานด้วยสักที?

งั้นอย่างนี้สิ ต้องจับมาคุยกันให้รู้เรื่อง โดยฝ่ายหญิงควรถามเขาว่า
ในเมื่อเราคบกันมาจนป่านนี้แล้ว (บอกเขาไปเลยว่ากี่วัน กี่เดือน และกี่ปีแล้ว
แสดงให้เขาเห็นว่า คุณน่ะจำแม่น แต่ต้องแน่ใจว่าคบกันมานานพอสมควรนะ
ไม่ใช่เพิ่งคบกันมา 7 วันก็ถามเรื่องแต่งงานซะแล้ว
ว้ายตาย...อย่างนี้ขอเชียร์ให้ฝ่ายชายวิ่งหนีดีกว่า)

ขั้นต่อไป ฝ่ายหญิงก็ถามฝ่ายชายว่า ในเมื่อเราคบกันมานานแล้ว เขาคิดว่า ในอนาคต
คู่ของเราจะมีอะไรคืบหน้าไปกว่านี้ไหม?
ให้เขาตอบอย่างเปิดอกมาเลยว่าคิดกับคุณอย่างไร มั่นคงกับความสัมพันธ์คราวนี้ขนาดไหน
จะได้รู้ทิศทางลมว่า จะเอาอย่างไร กันแน่ เช่น อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยกันไหม
หรือแค่คบคุณไว้เผื่อเลือกก็ว่ามา ฝ่ายหญิงจะได้ไม่เสียเวลา
ของพรรค์นี้ควรคุยกันให้เคลียร์ จะได้สบายใจ

เพราะเกิดมาหนนึง ถ้าผู้หญิงรักใครและเขาก็รักด้วย
เธอย่อมอยากหมั้นหมายหรือแต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราว
ซึ่งถ้าเป็นสุภาพบุรุษจริงก็ควรให้เกียรติ ฝ่ายหญิงตามกติกาสากลนี่นะ

ว่าแล้ว บางคนก็มีวิธีเฟ้นหาแฟนที่คิดว่าจะสามารถอยู่กันไปได้นานๆ
ด้วยการทดสอบใจคนที่ตัวเองคบอยู่ดูไงล่ะ เช่น...

1.ลองใจด้วยการพูดถึงแฟนเก่าขึ้นมา เพื่อดูสิว่า
คนที่คบอยู่ด้วยตอนนี้จะรู้สึกอย่างไร? ด้วยการพูดขึ้นมาลอยๆว่า
เมื่อวานนี้แฟนเก่าของฉันโทร.มาหาล่ะ แถมชวนให้ไปทานข้าวด้วยกัน
อยากรู้ว่าคุณคิดอย่างไร (ถามคนที่คบอยู่เดี๋ยวนี้?)
ซึ่งแฟนเก่าอาจไม่ได้โทร.มาก็ได้ แต่อยากลองใจก็เลยโม้ขึ้นมา

ถ้าเขา (ผู้ที่คุณคบอยู่ตอนนี้) ทำเป็นพูดในเชิงหึงหวง
แล้วห้ามปรามไม่ให้คุณไปหาแฟนเก่าละก็ โอ้ย แสดงว่า เขาใจแคบนะ
การที่เขาหึงเราน่ะดี แต่ควรหึงแต่พองาม ขณะคุณ (ที่เป็นหญิง)
ต้องให้ความมั่นใจเขาด้วยว่า ถ่านไฟเก่าไม่ลุกโชนขึ้นมาแน่ๆ
ซึ่งถ้ารับประกันอย่างนี้แล้ว เขายังหึงบ้าหึงบอ หึงจนไม่มีเหตุผลละก็
เห็นทีคุณควรโบกมือลาหรือห่างกันไปสักพักก่อนเถอะ
ถ้าเขารับมือกับเรื่องแฟนเก่าของคุณไม่ได้เลยละก็ แล้วจะอยู่ด้วยกันยืดรื้อ?
อย่างน้อยก็ควรจะไว้วางใจกันบ้าง

ในทางตรงกันข้าม ถ้าฝ่ายหญิงเล่าว่า แฟนเก่าโทร.มาชวนไปทานข้าว แล้วเขา
(คนที่คบกันอยู่) ถามอย่างใจเย็นว่า จะไปทานกันที่ไหนเมื่อไหร่? แถมบอกด้วยว่า
“แค่อยากรู้เท่านั้น เพราะจะไปหรือไม่ไป ผมเชื่อว่าคุณตัดสินใจเองได้” แหม
อย่างนี้สิ ถึงจะน่าคบกันไปนานๆ

2. พยายามให้เขาเห็นตัวตนที่แท้จริงของคุณให้มากที่สุด เช่น
ถ้าคุณเป็นสาวที่ซุ่มซ่ามไม่ได้เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ แต่น่ารักและอารมณ์ดี
ก็ให้เขาเห็นมุมนี้ของคุณไปเลย อย่าไปเก็บซ่อนไว้ หากเขารับได้ ก็น่านแหละแสดงว่า
เกิดมาคู่กันแล้วไหมล่ะ

3.ดูสิว่าเขาสามารถเป็นเพื่อนคู่คิดที่ดีแค่ไหนยามที่คุณมีปัญหา?
ด้วยการลองขอคำปรึกษาจากเขาในเรื่องการทำงานบ้าง
หรือเล่าให้เขาฟังเรื่องที่คุณมีปัญหากับเพื่อนๆ แล้วดูสิว่า
เขาจะให้คำแนะนำที่ดีแก่คุณได้ไหม ถ้าใช่ ก็วิเศษไปเลย
แต่ถ้าเขาเดินหนีเพราะไม่อยากฟังปัญหาของหล่อนละก็ คงรู้นะว่า ควรทำอย่างไรต่อไป
แหม ขนาดแค่นี้เขายังไม่สนหรือกระตือรือร้นอยากช่วยแม้แต่ปลอบใจคุณเลย ก็คงคบ
กันได้ไม่นานหรอก เพราะคุณก็จะทนต่อความเฉยเมยของเขาไม่ได้เหมือนกัน รู้หรอกน่า

4.เขาชื่นชมหรือวิพากษ์วิจารณ์คุณกับเพื่อนๆของเขากันแน่? ถ้าลับหลัง
เขายังชื่นชมคุณอยู่นั่น ก็คว้าไว้เลย คนนี้แหละสอบผ่าน ควรเป็นแฟนกันไปนานๆ.

@@@

เมอร์ลินไทยรัฐออนไลน์
  โดย เมอร์ลิน
  29 มกราคม 2555, 05:00 น.

ทันผู้ชาย 4 สัญญาณอยากเซ็กซ์

ทันผู้ชาย 4 สัญญาณอยากเซ็กซ์ ที่ผู้หญิงมองข้าม - ข่าวไทยรัฐออนไลน์หน้าหลัก
  นสพ.ฉบับวันนี้ ประเด็นร้อน บริการบนมือถือ กิจกรรม ร่วมงานกับไทยรัฐ
  สมัครสมาชิก(ฟรี) เข้าสู่ระบบ  ไทยรัฐออนไลน์วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ.2555
ค้นหาข่าวพระราชสำนักการเมืองกีฬาบันเทิงไลฟ์สไตล์วิทยาการเศรษฐกิจการศึกษาต่างประเทศภูมิภาคGallery
  v People c
  สังคม-สตรีอาหารสุขภาพยานยนต์ท่องเที่ยวคอลัมน์ไลฟ์สไตล์คู่มือคนเมืองFacebook
  Twitter คุณมีข่าวใหม่ 0 ข่าว รู้ทันผู้ชาย 4 สัญญาณอยากเซ็กซ์ ที่ผู้หญิงมองข้าม
จะคบกันมานานแค่ไหน หรือเพิ่งดูใจกันก็ตาม
ผู้ชายร้อยทั้งร้อยก็จินตนาการไปถึงเรื่องบนเตียงแล้ว  ทางที่ดีสาวๆ
ต้องรู้เท่าทันหนุ่มๆบ้าง เพราะสัญญาณบางอย่างที่เขาแสดงออกมา
อาจหมายถึงกำลังพยายามหาวิธีจู่โจมให้เคลิ้มแบบไม่ทันตั้งตัวอยู่ก็ได้

ถึงซีนโรแมนติกในยามที่อยู่กันสองต่อสอง
จะบอกว่าเป็นเวลาที่มีความสุขที่สุดก็อาจจะใช่
สำหรับคู่รักที่พร้อมจะเปิดศึกสวาททั้งกายและใจต่อกัน
แต่สำหรับคู่ที่เพิ่งคบกันใหม่ๆ ไม่พร้อมเปิดสนามรัก ก็ต้องหักห้ามใจตัวเองกันหน่อย
เพราะเมื่อใดที่คุณอยู่กันสองคน อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

การแสดงความรักต่อกันไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ถ้าสาวๆยังไม่แน่ใจว่าหนุ่มที่กำลังคบอยู่ด้วยเป็นคนที่ใช่ และจริงใจกับเรา
ทางที่ดีก็ต้องดูกันยาวๆ อย่างที่โบราณเขาสอนไว้ว่า อย่าชิงสุกก่อนห่าม
แต่ถ้าดันตกอยู่ในสถานการณ์ที่คุณทั้งคู่อยู่กันสองต่อสอง ฝ่ายหญิงสังเกตให้ดีๆ
เชียวว่า พฤติกรรมที่ฝ่ายชายแสดงออกมา
เข้าข่ายเริ่มอยากมีเซ็กซ์กับคุณแล้วหรือเปล่า

สื่อสารด้วยดวงตา

ได้ยินกันมาก็บ่อยว่า ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ
การมองสบตากันจึงสามารถสื่อสารอะไรได้หลายอย่าง บางทีก็เข้าใจมากกว่าคำพูดเสียอีก
เมื่อไหร่ก็ตามที่ฝ่ายชายเริ่มมองตาคุณอย่างหวานซึ้ง
เหมือนเป็นการออดอ้อนให้คุณคล้อยตามไปกับอารมณ์ ถ้าสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
คุณเองก็อาจจะลื่นไหลตามได้ง่ายๆ
ถ้าเกิดตอนนั้นคุณยังไม่มีความพร้อมที่จะมีเซ็กซ์กับเขา

ท่าจับขอบกางเกง

จะชัวร์หรือไม่กับพฤติกรรมการจับขอบกางเกง แต่ก็ติดอันดับเข้าข่ายมา ซึ่งอ้างกันว่า
เวลาที่ผู้ชายเริ่มจับขอบกางเกงต่อหน้าหญิงสาว เหมือนเป็นการสื่อให้รู้ว่า
เตรียมพร้อมที่จะเปลือยเปล่าล่อนจ้อนเผด็จศึกเต็มที่แล้ว

ลูบไล้ลงต่ำ

การกอดกันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนรักกันได้แสดงออกถึงความรัก
และการกอดกันนี่แหละที่เป็นประตูสู่กิจกรรมรัก เมื่อไหร่ก็ตามที่ฝ่ายชายเริ่มกอดคุณ
และลูบไล้ไล่ลงมาจนถึงบริเวณสะโพกต่ำลงเรื่อยๆ รู้ไว้เลยว่า นี่คือสัญญาณที่บอกว่า
เซ็กซ์กำลังจะเกิดขึ้นอีกในไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว

ขย้ำไหล่

เมื่อไหร่ก็ตามที่การกอดจากนุ่มนวล เริ่มหนักหน่วงมากขึ้น
นั่นไม่ใช่เพราะเขาต้องการทำร้ายคุณ แต่จริงๆแล้ว ในใจเขามันเขี้ยว
อยากจะขย้ำคุณให้คล้อยตามไปกับอารมณ์ที่มันกำลังพลุ่งพล่านต่างหาก
ถ้าคุณยังไม่อยากเสียอิสรภาพทางกาย ถ้าเริ่มรู้สึกตัว และตั้งสติได้
ก็จงถอยออกมาซะดีๆ



ข้อมูล/ภาพ : http://www.cosmopolitan.com
 ไทยรัฐออนไลน์
  โดย ทีมข่าวไลฟ์สไตล์ออนไลน์
  25 มกราคม 2555, 08:00 น

คู่มือการทำความสะอาดบ้านหลังน้ำลด


ถึงตอนนี้ เชื่อว่าระดับน้ำในหลายพื้นที่คงเริ่มลดกันไปบ้างแล้ว หลายครอบครัวก็เริ่มทยอยกลับเข้าบ้านกันอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อทุกคนกลับเข้าบ้าน อาจจะต้องผงะกับสิ่งที่เห็น... เพราะบ้านบ้านหลังเดิมอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!!!

          เพราะไม่เพียงแต่น้องน้ำจะเคลื่อนย้ายทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านไปคนละทิศคนละทางแล้ว แต่ยังฝากขยะและคราบสกปรกทิ้งไว้ตามพื้น กำแพง รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ทั้งหลายที่อยู่ในบ้าน ซึ่งเป็นบ่อเกิดของเชื้อโรคอีกด้วย

          ดังนั้น ภารกิจการทำความสะอาดบ้านครั้งนี้ ดูท่าจะเป็นงานที่หนักเอาการน่าดู แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ... แต่เพื่อน ๆ ไม่ต้องกังวลไป เพราะในวันนี้ เรามีวิธีในการทำความสะอาดบ้านอย่างครบครันทุกซอกทุกมุมมาฝากกันค่ะ

  เตรียมพร้อมก่อนเข้าบ้าน

          - เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม อาทิ แว่นตาช่าง, หน้ากากกรองฝุ่น, ผ้าปิดปากปิดจมูก, ถุงมือยาง, รองเท้าบูท, ไฟฉาย และหมวกนิรภัย

          - จากนั้นแต่งกายให้พร้อมก่อนเข้าไปในตัวบ้าน สิ่งสำคัญคือห้ามประมาทและอย่าเข้าไปคนเดียว ต้องมีคนไปเป็นเพื่อน และต้องมีคนรออยู่ด้านนอก เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิดขึ้น



ทำความสะอาด



  ขั้นตอนก่อนเข้าไปยังตัวบ้านให้ปฏิบัติ ดังนี้ 

          1.ก่อนเข้าไปในตัวอาคารบ้านเรือน ให้เดินดูบริเวณรอบ ๆ บ้านก่อน โดยสำรวจพิจารณาดูโครงสร้างที่อาจจะเสียหายเป็นอันตรายก่อนตัดสินใจที่จะเข้าไป

          2.ระวังเรื่องสัตว์มีพิษต่าง ๆ ที่อาจหนีน้ำเข้าไปอาศัยอยู่ในตัวบ้าน

          3.สังเกตดูรอยร้าว หรือการบิดตัวของโครงสร้างก่อนตัดสินใจเข้าไป

          4.ตรวจดูที่จัดเก็บถังแก๊ส มองหาสิ่งผิดปกติที่อาจจะมีการรั่วซึม

          5.ตรวจสอบการจ่ายไฟให้แน่ใจว่า ไฟฟ้ายังไม่ได้จ่ายกระแสเข้าไปในบ้าน โดยการดูที่คัตเอาท์ว่ายังมีการสับสวิตช์ลงอยู่หรือไม่

          6.เปิดประตูให้เกิดการถ่ายเทอากาศ อย่าเหยียบเข้าบ้านทันที ให้สังเกตพื้นบ้าน ลองค่อย ๆ ใช้เท้าทิ้งน้ำหนักเพื่อทดสอบก่อน

          7.สังเกตดูเพดานว่ามีการอมน้ำ แอ่นท้องช้าง หรือมีคราบน้ำอยู่หรือไม่ เพราะเพดานอาจพังทลายลงมาได้เมื่อมีการเคลื่อนไหวให้ระมัดระวัง

  ตรวจเช็คเชื้อโรค-ระบบไฟฟ้า 

          1.การป้องกันตนเอง เช่น การใส่ถุงมือยาง และรองเท้าบูท ที่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อโรคเชื้อรา, ป้องกันการสัมผัสสารเคมี รวมถึงป้องกันไฟดูด รวมทั้งคาดผ้าปิดจมูกและปากที่ช่วยป้องกันการหายใจเอาสปอร์ของเชื้อราและไอระเหยของสารเคมีเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ

          2.ในระหว่างการทำ ความสะอาดควรเปิดประตูหน้าต่างให้อากาศระบายได้มากที่สุด โดยอาจเปิดพัดลมเพดานช่วยระบายอากาศ

          3.ห้ามเปิดเครื่องปรับอากาศ เพราะเชื้อโรคต่าง ๆ จะถูกดูดเข้าไปอยู่ในระบบปรับอากาศ และจะกลายเป็นที่เพาะพันธุ์เชื้อราต่อไป ถือเป็นภัยเงียบที่เรามองไม่เห็น

          4.จากนั้นก็มาเริ่มที่ระบบไฟฟ้าของทั้งบ้าน ซึ่งจะต้องถูกปิดทันทีที่น้ำท่วมบ้าน ดังนั้น ระบบไฟฟ้าจึงเป็นสิ่งแรก ๆ ที่จะต้องจัดการทันทีที่น้ำลด โดยให้ช่างไฟฟ้ามืออาชีพมาตรวจสอบและซ่อมแซมให้หมดก่อนจึงจะสามารถกลับไปใช้ไฟฟ้าได้

          5.บางครั้งจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเดินสายไฟใหม่ทั้งหมด และสายไฟจะต้องแห้งสนิท รวมทั้งสวิตช์ไฟ, เต้าเสียบปลั๊กไฟต่าง ๆ ที่จมอยู่ใต้น้ำอาจจะมีโคลนตมและตะกอนที่มากับน้ำเข้าไปอยู่ จึงต้องมีการตรวจเช็กระบบอย่างละเอียด

          6.ระบบเครื่องปรับอากาศ หลังน้ำลดต้องเรียกช่างแอร์มืออาชีพมาตรวจเช็คระบบเครื่องปรับอากาศภายในบ้านทั้งหมด พร้อมทั้งทำความสะอาดท่อต่าง ๆ, แผ่นกรองอากาศ เปลี่ยนฉนวนกันความร้อนที่จมน้ำ ฯลฯ เมื่อช่างแก้ไขให้เสร็จเรียบร้อยแล้วให้ซีลปิดไว้ก่อนจึงจะเริ่มการทำความสะอาดบ้าน

          7.อย่าลืมว่าก่อนจะเปิดเครื่องปรับอากาศต้องทำความสะอาดบ้านจนเสร็จเรียบร้อยพร้อมกลับเข้าไปอยู่แล้วเท่านั้น

  จัดพื้นที่เก็บขยะ

          1.แน่นอนว่าจะมีขยะทั้งของบ้านเราเองและบ้านคนอื่น เลือกที่พักขยะหรือที่แขวนถุงขยะ เพราะสิ่งที่ลำบากที่สุดหลังน้ำลดก็คือปริมาณขยะมากกว่าคนจะมาเก็บขยะ ดังนั้นจึงต้องใช้เวลา

          2.เรียงลำดับ แยกประเภทขยะ เพราะกำลังเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ ทิ้งขยะที่จะเน่าได้ก่อน เช่น เศษอาหาร ส่วนขยะบางประเภทเก็บไว้ในบริเวณบ้านก่อนได้แล้วค่อยทยอยทิ้งทีหลัง เช่น โฟม พลาสติก เฟอร์นิเจอร์ที่พังเสียหาย ส่วนขยะอันตราย จำพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า หลอดไฟ (ที่ยังไม่แตก) ควรคัดแยกไว้ต่างหาก แล้วหาวิธีจัดการอย่างเหมาะสมเป็นลำดับถัดไป

  วิธีเลาะซิลิโคน ที่เราอัดรูระหว่างประตู ตอนน้ำท่วม มีดังนี้...

          1. ใช้มีดปลายแหลมกรีดตามรอยซิลิโคนที่ยิง

          2. เมื่อเอากำแพงออกจะมีรอยเลอะและคราบของซิลิโคนติดอยู่

          3. ใช้มีดปลายแหลมลอกซิลิโคนออก (ถ้าไม่มีเครื่องมือข้างต้น อาจจะใช้คัตเตอร์ หรือมีดแทนได้)

          4. ใช้มีดปลายแหลมขูดเศษของซิลิโคนออกอีกรอบ

          5. ทำความสะอาดลอกซิลิโคนออกจากกำแพงกั้นน้ำสังกะสีหรือแผ่นโพลีคาร์บอเนตด้วยความปราณีตเผื่อได้ไว้ใช้งานต่อ

          6. เก็บกวาดอีกครั้งก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย



ผู้หญิง

  การทำความสะอาด 

1. พื้น


          ด้านนอกอาคาร ทำความสะอาดโดยการฉีดน้ำล้าง การขัด และใช้น้ำยาทำความสะอาดต่างๆ สามารถ ล้างแบบเปียกได้แล้วทิ้งให้แห้ง สามารถใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรครวมด้วยเพื่อความสะอาด

          ด้านในอาคาร เช็ดทำความสะอาด หากคราบฝังแน่น ขัดด้วยแปรงหรือแผ่นขัด และใช้น้ำยาทำความสะอาดต่าง ๆ สามารถใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรครวมด้วยเพื่อความสะอาดเพื่อทำความสะอาด

          *หมายเหตุ หากพื้นที่กว้างสามารถใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง หรือเครื่องขัดพื้น ช่วยทำความสะอาดจะลดเวลาทำงานได้มาก

          - พื้นไม้ สะสมความชื้นสูง ควรใช้น้ำยาทำความสะอาดและน้ำยาฆ่าเชื้อโรคทำความสะอาด ล้าง หรือเช็ดถู

          - พื้นพรม หากสะสมความชื้นสูง แนะนำให้เปลี่ยนใหม่จะดีกว่า เพื่อความสุขภาพของผู้อยู่อาศัย หากไม่ชื้นมากให้ใช้เครื่องซักพรมทำความสะอาด หรือซักล้างด้วยแปรงขัดล้างทำความสะอาด แล้วใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดน้ำเพื่อดูดน้ำกลับ ระวังพรมบางประเภทไม่ทนต่อน้ำ กาวหรือขนพรมอาจหลุดได้

2. กำแพง

          ด้านนอกอาคาร ทำความสะอาดโดยการฉีดน้ำล้าง การขัด และใช้น้ำยาทำความสะอาดต่างๆ สามารถ ล้างแบบเปียกได้แล้วทิ้งให้แห้ง สามารถใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรครวมด้วยเพื่อความสะอาด

          ด้านในอาคาร เช็ดทำความสะอาด หากคราบฝังแน่น ขัดด้วยแปรงหรือแผ่นขัด และใช้น้ำยาทำความสะอาดต่าง ๆ สามารถใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรครวมด้วยเพื่อความสะอาดเพื่อทำความสะอาด แต่สีผนังอาจหลุด จะต้องแต่งใหม่

          วอลเปเปอร์ เช็ดทำความสะอาด และฆ่าเชื้อโรค

3. เฟอร์นิเจอร์

          ตู้บิลอิน เช็ดถูทำความสะอาด และฆ่าเชื้อโรค เปิดหน้าบานระบายความชื้น

          เฟอร์นิเจอร์ลอยตัว ฉีดล้างทำความสะอาด นำตากแดด หากเป็น เฟอร์นิเจอร์ผ้าจะเปียกและสะสมความชื้นสูง แนะนำให้เปลี่ยนใหม่จะดีกว่า เพื่อความสุขภาพของผู้อยู่อาศัย หากไม่ชื้นมากให้ซักล้างด้วยแปรงขัดล้างทำความสะอาด แล้วใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดน้ำเพื่อดูดน้ำกลับ

4. เครื่องใช้ต่าง ๆ

          เครื่องครัว แช่ทำความสะอาดในน้ำคลอรีนผสม หรือ แอลกอฮอล์ เพื่อฆ่าเชื้อโรค แล้วนำไปแช่ในน้ำเดือดต้มทำความสะอาดอีกครั้ง

          เครื่องเงินและโลหะ แช่ในน้ำเดือด เพื่อเป็นการต้มทำความสะอาด



ทำความสะอาดห้องน้ำ



  ถึงเวลาลงมือทำ 

          หลังจากตรวจเช็กทุกอย่างจนแน่ใจแล้ว ก็มาถึงวิธีการทำความสะอาดขนานใหญ่ โดยเริ่มตามโปรแกรมดังนี้ 

          1. เริ่มด้วยการขนย้ายสิ่งของต่าง ๆ ภายในบ้านออกมาให้ได้มากที่สุด เพื่อสะดวกในการจัดการกับโคลนตมที่มากับน้ำ ให้ใช้พลั่วตักดินโคลนออกจากพื้นบ้านให้ได้มากที่สุด

          2. ใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง (ถ้ามี) หรือสายยางฉีดน้ำเพื่อชะล้างโคลนออกจากพื้นผิว อุปกรณ์อย่างหนึ่งที่จะช่วยผ่อนแรงได้มากคือ ไม้ปาดน้ำ หากไม่มีและพื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก สามารถใช้ผ้าขนหนูทำเป็นผ้าลากน้ำได้ โดยเน้นการกำจัดดินโคลนออกไปให้หมด

          3. เรื่องของพื้น หากพื้นบ้านของท่านมีการใช้วัสดุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ไวนิล, เสื่อน้ำมัน, พรม, ปาร์เกต์ ฯลฯ มีความจำเป็นที่จะต้องรื้อวัสดุปูพื้นเหล่านั้นออกเพื่อให้พื้นด้านล่างแห้ง ซึ่งกว่าจะแห้งสนิทอาจใช้ระยะเวลานานพอสมควร

          4. การทำความสะอาดพื้นทุกชนิด ต้องพิจารณาดูตามความเหมาะสมของพื้น โดยทั่วไป ๆ สามารถใช้น้ำผสมคลอรีนในอัตราส่วน 0.1% (1 CC ต่อน้ำ 1,000 CC) ฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณก่อนแล้วจึงขัดถูพื้นด้วยน้ำยาล้างจานหรือผงซักฟอก ขัดถูให้ทั่วบริเวณแล้วจึงราดด้วยน้ำร้อนเดือด ๆ หรือใช้ผลิตภัณฑ์น้ำยาเคมีทำความสะอาดที่สามารถฆ่าเชื้อต่าง ๆ ได้ ซึ่งต้องอ่านฉลากวิธีใช้ให้ละเอียดและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

          5. หากเป็นไปได้ควรใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อกำจัดกลิ่นที่เป็นสารชีวภาพเอนไซม์ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อ กำจัดกลิ่น กำจัดคราบไขมันได้

          - ข้อดี คือ สารชีวภาพเอนไซม์นั้นจะยังคงมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อที่จะเกิดขึ้นใหม่จากความชื้นต่อไปได้อีกนานประมาณ 3-6 เดือน ตราบที่พื้นยังมีความชื้นอยู่ และที่สำคัญสารชีวภาพเอนไซม์นั้นไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม

          6. สำหรับพื้นบ้านที่ปูพรม ถ้าพื้นบ้านที่ปูพรมจมอยู่ใต้น้ำท่วมหรือน้ำเสีย ควรจะตัดใจกำจัดทิ้งไปเพื่อความปลอดภัยของสุขภาพ เพราะพรมเป็นแหล่งเพาะเชื้อราอย่างดี

          - การทำความสะอาดพรมด้วยตัวเองเป็นเรื่องยาก ต้องใช้มืออาชีพที่เชื่อถือได้ว่าจะใช้น้ำยาซักพรมที่ฆ่าเชื้อกำจัดกลิ่น และใช้เครื่องมือซักพรมชนิดพิเศษที่สามารถทำความสะอาดได้ล้ำลึก แต่ค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดค่อนข้างสูง ควรพิจารณาให้ดี



 วิธีกำจัดเชื้อราในบ้าน





  ข้อแนะนำ
          1. การป้องกันร่างกายให้ถูกต้อง เช่น สวมถุงมือยาง (เช่น ถุงมือล้างจานที่แม่บ้านใช้) สวมรองเท้าบูทยาง สวมหน้ากาก (mask) สวมเสื้อผ้ามิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้ความสกปรกมาถูกตัว ถูกผิวหนัง/แผล หรือน้ำกระเด็นเข้าปาก/น้ำเข้าตา ต้องล้างมือล้างเท้าด้วยน้ำสะอาดและสบู่บ่อย ๆ ต้องคำนึงว่ากำลังทำงานอยู่กับของสกปรก

          2. ใช้น้ำยาที่ใช้อยู่ตามปกติ ทำความสะอาดคราบต่าง ๆ (คราบดิน/โคลน คราบน้ำ) ก่อนในขั้นแรก เพื่อเอาความสกปรกออกให้ได้มากที่สุด เช่น น้ำยาล้างบ้าน ล้างพื้นห้องน้ำ ผงซักฟอก เป็นต้น แต่ต้องปฏิบัติตามฉลากของนำยาเหล่านั้นให้ถูกต้อง เช่น อะไรใช้กับไม้ กับกระเบื้อง กับ โลหะ (= ต้องอ่านฉลาก) 

          3. ควรทำในที่ที่อากาศถ่ายเทดี (ห้ามเปิดพัดลม หรือเครื่องปรับอากาศ เพราะจะทำให้เชื้อราฟุ้งกระจายในอากาศ)

  ขั้นตอนการทำความสะอาดเชื้อราในแต่ละส่วน 

          1. เมื่อเกิดเชื้อราขึ้นกับวัสดุที่เป็นพื้นแข็ง ให้ใช้น้ำสบู่ แอลกอฮอล์ หรือน้ำยาขัดห้องน้ำล้าง และขัดให้ด้วยแปรงชนิดแข็งจนเชื้อราออกจนหมดจด จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหลาย ๆ รอบจนกว่าจะแน่ใจว่าสะอาด

          2. วัสดุที่เป็นเนื้ออ่อน เช่น หนังสือ กระดาษมัน พลาสติก กล่อง ให้ใช้สำลีชุบฟอร์มาลีนเช็ด แล้วตามด้วยผ้าชุบน้ำสะอาด จากนั้นนำไปวางไว้ในที่ที่อากาศถ่ายเท และมีแสงแดดส่องถึงเล็กน้อย แล้วปล่อยให้แห้ง




          3. พรม ฝ้า หรือที่นอน หากมีเชื้อราขึ้น ให้โยนทิ้งจะปลอดภัยที่สุด เพราะวัสดุที่มีรูอย่างพรม ฝ้า และที่นอนนี้ เป็นวัสดุที่ล้างเชื้อราออกได้ยากมาก และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถล้างออกได้หมดจด 100% ซึ่งถ้าหากยังดันทุรังใช้ต่อไป ความชื้นในห้องก็อาจจะทำให้เชื้อราลุกลาม ฟักตัวได้กว้างขึ้น ทำให้เกิดโรคและเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจของผู้อยู่อาศัยไม่รู้ตัว ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่คุ้มกันเลยล่ะ


ทาสี


          4. อย่าทาสีหรือแลคเกอร์ทับในบริเวณที่เกิดเชื้อรา ให้ล้างออกให้สะอาดหมดจดก่อน จากนั้นค่อยเริ่มทาสีหรือแลคเกอร์

          5. กรณีที่เชื้อราผุดให้เห็นในข้าวของเครื่องใช้ประเภทเครื่องหนัง ให้ใช้น้ำส้มสายชูเช็ดหลาย ๆ ครั้ง จนแน่ใจว่าสะอาด จากนั้นเช็ดครั้งสุดท้ายด้วยน้ำสะอาด น้ำส้มสายชูจะช่วยกำจัดเชื้อราได้เป็นอย่างดี

          6. เฟอร์นิเจอร์ หรือของใช้ที่เป็นไม้เนื้ออ่อน โดยปกติวัสดุเหล่านี้จะเสี่ยงต่อการขึ้นราเมื่อมีความชื้นอยู่แล้ว ซึ่งมันจะไม่เป็นอะไรมากนักหากนำมาล้างทำความสะอาดภายใน 24-48 ชั่วโมงที่พบเชื้อ หรือเริ่มสังเกตเป็นดอกเป็นดวงขึ้น แต่ในกรณีที่น้ำท่วมแล้วปล่อยบ้านไว้นานเป็นเดือน ๆ ขอแนะนำให้ทิ้งข้าวของเครื่องใช้ที่ทำด้วยไม้เนื้ออ่อนเหล่านั้นไปอย่างไม่ต้องเสียดาย เพราะอาจจะฟักตัวเป็นเชื้อราที่อันตรายมากขึ้นได้

          7. ย้ายเฟอร์นิเจอร์ หรือเครื่องใช้ที่มีราขึ้น (และตอนนี้ได้ทำความสะอาดแล้ว) ไปอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก หรือที่แสงแดดส่องถึงสักระยะหนึ่ง คือประมาณ 1-2 สัปดาห์ แล้วหมั่นคอยตรวจสอบว่า หลังจากทำความสะอาดแล้วยังมีเชื้อราขึ้นอยู่อีกหรือไม่ หากไม่มีก็แสดงว่าสามารถแน่ใจแล้วว่าเราได้ทำความสะอาดเชื้อราออกไปได้อย่างหมดจดแล้วจริง ๆ แต่หากยังพบร่องรอยของเชื้อรา ขอให้นำมาทำความสะอาดใหม่ เพราะมันจะลามได้ง่ายมากถ้าหากวันหนึ่งอากาศชื้นอีกครั้ง

          8. วอลเปเปอร์ ใช้กรดซาลิไซลิด ผสมกับแอลกอฮอล์ในอัตราส่วน 1:5 จากนั้นนำผ้ามาชุบไปเช็ดวอลเปเปอร์ซ้ำ ๆ ประมาณ 2 รอบ แต่ถ้าหากว่ามีเชื้อราอยู่มาก แนะนำให้รื้อทิ้งแล้วเปลี่ยนวอลเปเปอร์ใหม่จะดีกว่า

          9. เสื้อผ้า ผ้าม่าน และผ้าห่ม หากพบเชื้อรา สามารถฆ่าเชื้อเบื้องต้นได้โดยใช้น้ำร้อน จากนั้นขยี้แล้วซักให้สะอาดหลาย ๆ ครั้ง และตากในที่ที่มีแสงแดดเท่านั้น เพื่อเป็นการฆ่าเชื้ออีกที

          10. งดกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดความชื้นภายในบ้าน หากตัวบ้านเพิ่งมีราขึ้นและได้รับการทำความสะอาดไปใหม่ ๆ ไม่ควรต้มน้ำ ซักผ้า ตากผ้า เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นจัด แต่ควรเปิดให้อากาศภายนอกได้ระบายเข้ามาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันแดดจัด แม้ว่าจะทำให้คุณร้อนอบอ้าวไปบ้าง แต่แสงแดดจะช่วยฆ่าเชื้อราได้ดีเลยทีเดียว


  เตรียมพร้อมรับมืออยู่กับน้ำ (ในคราวหน้า)

          1. หากเลือกได้ ปูพื้นบ้านด้วยกระเบื้องดูจะเป็นทางเลือกที่ง่ายต่อการทำความสะอาดที่สุด

          2. ถังส้วม อย่าฝังไว้ในดิน ลองประยุกต์พื้นที่จัดวาง เช่น ใต้บันได

          3. กล่องไฟแยกระบบชั้นบน-ชั้นล่างชัดเจน ถึงเวลาน้ำมาตัดไฟชั้นล่าง ใช้ชีวิตชั้นบนได้ตามปกติ

          4. ทุกชุมชนควรกำหนดพื้นที่พักขยะหรือซากปรักหักพังเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติไว้อย่างชัดเจน ขยะจะได้ไม่ล้นทะลัก และช่วยให้ง่ายต่อการจัดการในภายหลัง
kapook.com